ชีวิตคือความรื่นรมย์
คนดี-ร้อยปีโลกยังยกย่อง
ปีนี้ เป็นปีมหามงคลของชาติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งพระราชจักรีบรมราชวงศ์ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกในขณะนี้ ยิ่งกว่านั้น ปีหน้า 2550 จะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระชนมายุ 80 พรรษา นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนมายุยาวนานที่สุดของชาติไทย เป็นมหาปลื้มปีติที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายล้วนมีบุญที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมี "ทศพิธราชธรรม" ตลอดเวลายาวนานที่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนชาวไทยนั้น พระองค์ทรงแน่วแน่ในพระปฐมบรมราชโองการที่ทรงประกาศในวันพระบรมราชาภิเษก 5 พฤษภาคม 2489 ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
มีพระราชกรณียกิจมากมาย โครงการพระราชดำริกว่า 2,000 โครงการที่พระองค์ทรงดำริริเริ่มและมีผู้รับสนองนำไปประพฤติปฏิบัติ แล้วปรากฏผลอันดี เป็นเครื่องยืนยันในพระราชปณิธานของพระองค์ซึ่งต่อไปอีกนานนับเวลามิได้ ความดีเหล่านั้นก็จะคงอยู่คู่โลกไปไม่สิ้นสูญ
มีคำกล่าวเสมอว่า "คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" หรือ "คนดีที่โลกต้องการ"/"คนดีที่โลกไม่ลืม"/"ความดีและคนทำดีไม่มีวันตาย" ฯลฯ ซึ่งยืนยันได้ เช่น องค์การสหประชาชาติ (โดยองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม หรือ ยูเนสโก และองค์การอื่นๆ) ประกาศยกย่องอยู่เสมอ ทั้งที่บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ (อย่างที่นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญสดุดี "ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 นี้)
แม้บุคคล และเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว 100 ปี หรือ มากกว่านั้น องค์การสำคัญแห่งโลกแห่งนี้ก็ยังนำมาประกาศยกย่อง เท่าที่เป็นมา บุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญของไทยได้รับการประกาศยกย่องมาแล้ว 18 ครั้ง (ครั้งที่ 17 คือ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์นามปากกาศรีบูรพา -100 ปีชาตกาล เมื่อ 31 มีนาคม 2548 ครั้งที่ 18 คือ พระธรรมโกศาจารย์ หรือ พุทธทาส
ภิกขุ ซึ่งครบชาตกาล 100 ปี เมื่อ 27 พฤษภาคม 2549 นี้)
พระธรรมโกศาจารย์ เป็นพระที่อุทิศตนเพื่อนำพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแยะแยกแจกแจงออกเป็นข้อเตือนใจให้ตนที่แม้ไม่สนใจธรรมะ ไม่ว่าชาติ หรือ ศาสนาใด ก็สามารถนำเอาธรรมะ (ที่ใครบางคนว่าลึกซึ้งซับซ้อน) มาสู่ใจของผู้คนไม่เลือกหมู่เหล่า โดยท่านเน้นว่าธรรมะนั้นคนทั่วไปสัมผัสได้ และใครที่นำไปปฏิบัติโดยตัวเอง ก็จะได้ผลดีแก่ตัวเอง
ท่านเป็นบุคคลที่ไม่ติดในตัวตน และทรัพย์สิน ยศศักดิ์ พยายามให้คนทั่วไปสลัดตัวตนออกจากพันธนาการติดยึด (ที่ท่านเรียกว่า "ตัวกู-ของกู") แม้แต่พระสมณศักดิ์ที่ท่านได้รับ ท่านก็ไม่นิยมใช้ดังนั้นคนทั่วไปจึงรู้จักท่านในนาม พุทธทาส อินทปัญโญ หรือ "พุทธทาส" มากกว่าอื่น และอาจจะถือได้ว่า ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธเจ้า โดยนำพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่มากที่สุด ท่านเป็นที่เคารพของบุคคลทั่วไปทั้งไทยและต่างประเทศ คำเทศนาสั่งสอนที่ท่านได้ค้นคว้าจากพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนำมาเผยแพร่ ใครจะนำไปเผยแพร่ในรูปใดได้ทั้งนั้น ถึงวันนี้มีหนังสือ เทป วีดีโอ ซีดี ดีวีดี เกี่ยวกับที่ท่านเขียน พูด เทศน์ ปาฐกถาไว้มากมาย โดยที่ท่านเองเป็นนักปฏิบัติที่เป็นตัวอย่างของคนทั่วไปโดยไม่มีด่างพร้อย
แม้คนที่ไม่อยู่ในศีลกินในธรรม ยังกล้า "ลอก" คำสอนบางตอนของท่าน มาฉาบภาพตัวเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์ หวังให้คนที่ไม่รู้เท่าทัน นึกว่าตนเป็นศิษย์ของท่านพุทธทาส และซึ้งถึงธรรม...ก็ยังมี...
ในบรรดานักเขียน-นักหนังสือ-นักอ่านที่คบกันมานานพอสมควร ข้าพเจ้าทราบว่า ถวิล มนัสน้อม เป็นที่อ่านและสะสมหนังสือเกี่ยวกับท่านพุทธทาสมากคนหนึ่ง เมื่อเขายอมตัวเข้ามาเป็นกรรมการ(สาราณียกร) ให้สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย จึงมีหนังสือที่นำมาอ้างถึงและได้คัดข้อธรรมหลากหลายตอนมารวบรวมไว้ในหนังสือ "นักเขียน" ฉบับพิเศษ (วันที่ 5 พฤษภาคม 2549 ซึ่งเป็นวันนักเขียน) ของสมาคม ฯ ได้อย่างน่าชมเชย
หนังสือฉบับนี้ มีเรื่องที่เป็นแกนใหญ่ 2 แนว คือ เรื่องเกี่ยวกับบุคคลร่วมสมัยที่มีชาตกาลครบ 100 ปีด้วยกัน คือ ท่านพุทธทาสที่กล่าวถึงแล้ว และนักเขียน-นักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของวงวรรณกรรมไทยอีกคน คือ มาลัย ชูพินิจ
มาลัย ชูพินิจ เป็นนักประพันธ์คนสำคัญที่ใช้ชีวิตในการเขียนและการหนังสือพิมพ์จนสิ้นชีวิต มีผลงานนวนิยายที่โด่งดังหลากหลายเรื่อง มีผลงานเขียนเรื่องสั้นนับพัน และเรื่องสั้นๆ อีกนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นยังมีข้อคิดและบทความอีกมาก ที่น่านำมารวมพิมพ์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา เพราะสำนวนและเนื้อหางานของท่านผู้นี้ไม่เป็นรองใคร นอกจากนามปากกาที่โด่งดังอย่าง แม่อนงค์ เรียมเอง น้อยอินทนนท์ แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นนักประพันธ์-นักหนังสือพิมพ์ที่มีนามปากกามากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย และของโลก
ขอบันทึกเพิ่มเติมว่า นอกจากสองคนที่กล่าวแล้ว ปีนี้ยังมีนักประพันธ์ที่ (ใกล้หรือ) ครบ 100 ปี อีก 3 คน คือ พัฒน์ เนตรรังษี (นามปากกา พ.ษ.- พ.เนตรรังษี เกิด 20 มกราคม 2449) หม่อมหลวง ต้อยชุมสาย (นามปากกา น้อย อภิรุม- ขุนอารี เกิด 28 มกราคม 2449) ฉุน ประภาวิวัฒน์ (นามปากกา นวนาค เกิด 31 มกราคม 2449) แต่ถ้านับตามความเป็นจริงที่ปีใหม่ไทยครั้งกระโน้น ถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ก็ต้องนับว่า 3 ท่านนี้ยังไม่ครบ 100 ปีทีเดียว ใครที่เป็นลูกหลาน หรือสายโลหิต และลูกศิษย์ลูกหาควรเตรียมจัดงานเชิดชูเกียรติได้ในปีหน้า
เพราะคนดีๆ นั้น 100 ปี ก็ยังไม่สายที่จะนำเกียรติประวัติมายกย่อง ตรงข้ามกับบางคน ที่แม้จะยังมีชีวิตอยู่ คนก็สาปแช่งให้หายสาบสูญไปจากโลกได้ เร็วเท่าใดยิ่งดี เพราะอยู่ไปก็รังแต่จะทำความไม่ดีทับโลกมากขึ้น ถ้าหายไปเสียได้ โลกก็เบาขึ้น
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52868