รอบรู้เรื่องรถ
"อีเอสพี" ช่วยชีวิตได้จริง ?
ผู้อ่านที่เป็นสมาชิกหรือติดตามคอลัมน์เทคนิคของ "ฟอร์มูลา" มาตลอด ย่อมรู้จัก อีเอสพี เพราะผมเคยนำเสนออย่างละเอียดมาแล้ว สำหรับท่านที่พลาดไปขออธิบายอย่างคร่าวๆ อีกครั้งนะครับ
อีเอสพี คือ พยัญชนะหน้าของ ELECTRONIC STABILITY PROGRAM หมายถึง โพรแกรมช่วยรักษาเสถียรภาพของรถ ถ้าเอาความหมายจากชื่อของมันล้วนๆ ก็ยังเดาหน้าที่ของมันจริงๆ ไม่ออก โพรแกรมนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพของรถเฉพาะตอนที่รถเลี้ยวและเสียหลักเท่านั้นครับ ถ้าเป็นการแล่นทางตรง ซึ่งก็ต้องการเสถียรภาพที่ดีเหมือนกัน อีเอสพี จะไม่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าต้องการได้เสถียรภาพทางตรงที่ดี ต้องใช้ฝีมือออกแบบ ทดสอบ และปรับช่วงล่างกันล้วนๆ
อีเอสพี จะมีบทบาทเฉพาะตอนเลี้ยว และถ้าเลี้ยวธรรมดา มันก็จะไม่มาก้าวก่ายหน้าที่ของเราผู้ขับหรอกครับ ต่อเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นจนรถเสียการทรงตัว มันถึงจะช่วยแก้ไข และทำได้รวดเร็วระดับปฏิกิริยาของคนขับเทียบไม่ติดเลย ไม่ว่าจะเสียการทรงตัวขณะเลี้ยว เพราะความคะนอง ความประมาท หรือเป็นเรื่องสุดวิสัยก็ตาม อีเอสพี "ไม่สน" และไม่แยกแยะให้เสียเวลา เพราะเป็นอันตรายทั้งนั้น เซนเซอร์หลายตัวที่ถูกติดตั้งในตำแหน่งต่างๆ จะส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล ว่าเข้าข่ายเสียการทรงตัว ระดับที่หากไม่ช่วยจะเป็นอันตรายหรือไม่
การเสียการทรงตัวในโค้งมีอยู่สองกรณีด้วยกัน (ถ้าไม่นับแบบพิเศษเป็นแบบที่สาม) คือหน้าไถล หรือดื้อโค้ง หรือ อันเดอร์สเตียริง กับ "ท้ายปัด" เลี้ยวเข้าในโค้งเกินกว่าที่ผู้ขับต้องการ หรือ โอเวอร์สเตียริงถ้าเป็นกรณีแรก อีเอสพี จะ "สั่ง" ให้เบรคของล้อหลังในโค้ง ทำงานเสริมเป็นพิเศษล้อเดียว (ถ้าผู้ขับกำลังเบรคอยู่ อีเอสพี ก็จะเบรคล้อนี้แรงกว่าเป็นพิเศษ) ถ้าเป็นกรณีหลัง จะให้ล้อหน้านอกโค้งถูกเบรคเป็นพิเศษและขณะเบรคก็จะผ่อนคันเร่ง (ไฟฟ้า) ด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ความเร็วของรถต้องไม่เกินกว่าที่แรงเสียดทานจะรับได้นะครับ เพราะไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางฟิสิคส์ได้ ถ้าเข้าโค้งมาเร็วเกินลิมิทไปมาก ถึง อีเอสพี จะพยายามทำงานก็หมดความหมาย เพราะรถก็จะไถลออกนอกโค้งไปทั้งคันอยู่ดี
การเสียหลักของรถแบบที่สามในวงเล็บของผม จึงเกิดขึ้นได้แม้รถจะมีอาการเป็นกลาง คือไม่โอเวอร์ และไม่อันเดอร์สเตียริง แต่มันจะแหกโค้งไปทั้งๆ ที่ตัวรถยังอยู่ในแนวเดียวกับถนน
ระบบใหม่ๆ ที่ใช้กับรถของเรา มักมีชื่อที่สื่อว่าเป็นอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จับต้องได้หรือฮาร์ดแวร์แต่ อีเอสพี มีความหมายเป็นเพียงโพรแกรมเท่านั้น เพราะนอกจากเซนเซอร์วัดความหน่วงหรือความเร่งวัดความเร็วที่คนขับหมุนพวงมาลัยแล้ว ระบบนี้ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วครับ นั่นคืออุปกรณ์ของระบบป้องกันล้อลอค หรือ เอบีเอส
ที่นำกลับมาแนะนำอย่างย่อในครั้งนี้ เพราะผมได้สถิติที่เชื่อถือได้ ยืนยันประโยชน์ของ อีเอสพี อย่างชัดเจน โดยสมาคมผู้รับประกันภัยในเยอรมนี ได้วิเคราะห์อุบัติเหตุและพบว่า ร้อยละ 60 ของอุบัติเหตุของรถยนต์ ที่มีผู้เสียชีวิต เกิดจากการเสียการทรงตัวจนควบคุมไม่ได้ของรถ และในจำนวนนี้ 2 ใน 3 (ซึ่งก็คือร้อยละ 20 ของรถที่เกิดอุบัติเหตุจากการเสียการทรงตัวและมีผู้เสียชีวิต) สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ รอดตายหากรถนั้นมี อีเอสพี อยู่
ส่วนมหาวิทยาลัยในรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา ทดสอบกับแท่นจำลองการขับควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์โดยให้อาสาสมัครแก้ไขและบังคับรถในสถานการณ์วิกฤติ เช่น หลบสิ่งกีดขวางกะทันหัน เจอโค้งแบบรัศมีเล็กลงเรื่อยๆ (แบบนี้ขับยากมากครับ "มือเซียน" หลงตัวเอง เจ็บหรือตายมามากแล้ว) และถูกลมปะทะด้านข้างอย่างแรงที่ความเร็วสูง ปรากฏผลว่า ถ้ามี อีเอสพี จะมีผู้ขับรอดพ้นจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 กรณีแรกเป็นสถิติของจริงจากเยอรมนี ส่วนกรณีหลังเป็นการทดลองแบบจำลองสถานการณ์แต่ก็มีความใกล้เคียงกันพอสมควรครับ
บทสรุปก็คือ ระบบนี้เหมาะที่สุดสำหรับพวกเราชาวไทย ที่ชอบรถเร็ว รถแรง ศึกษาเทคนิคการขับน้อยประมาท หรือถนนลื่นเพราะไม่มีกฎหมายเอาผิดกับผู้รับผิดชอบ
ที่ผมนำมาเล่านี้ เพราะต้องการให้ผู้จำหน่ายรถติดตั้ง หรือถ้าเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ก็สั่งระบบนี้ให้แก่ลูกค้าด้วย ส่วนผู้อ่านที่เป็นลูกค้า และซื้อรถชั้นดีราคาสูง (แบ่งประเภทให้ชัดเจนยากครับ) ก็ช่วยเรียกร้องให้มีระบบนี้มากับรถด้วยครับ คุณค่าของมันประเมินเป็นราคาได้ยาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความปลอดภัยของเราผู้ใช้รถโดยตรง
ผมได้รับเชิญจากสมาคมผู้ใช้รถ ซูบารุ ชาวไทย (SIAM SUBARU SOCIETY) เพื่อเข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกอบรมทักษะการขับรถ แบบจิมคานา (GYMKHANA) ซึ่งไม่ต้องการลู่วิ่ง ใช้เพียงลานกว้างผิวดีเท่านั้น ใช้ตำแหน่งกรวยยางเป็นตัวกำหนดทิศทางที่รถต้องผ่าน ผู้ที่ทำความเร็วเฉลี่ยตั้งแต่ออกรถจนหยุดรถที่ปลายทางได้สูงที่สุด คือผู้ที่ใช้เวลาน้อยที่สุดนั่นเองครับ ใช้ได้ทั้งการฝึกอบรมทักษะ และการแข่งขันประลองฝีมือ ค่าใช้จ่ายต่ำ ความปลอดภัยสูง ถ้าผู้เรียนและผู้แข่งขันรักษาระเบียบวินัยเคร่งค
รัด เป็นทางออกอย่างหนึ่งสำหรับผู้รักการขับรถเร็ว ถ้าจัดสลับกับการประลองความเร็วในสนามแข่งแบบ TRACK DAY ก็จะครบสูตร ไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นบนถนนหลวง
งานนี้ผู้จัดคือ ดร. พรต ซอโสตถิกุล ประธานชมรม ฯ โดยเชิญคุณ มาซะกิ นิชิฮาระ แชมพ์ 5 สมัยจากญี่ปุ่น มาเป็นผู้สอน ได้ผู้แทนจำหน่ายยาง บีเอฟกูดริช ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสปอนเซอร์ของ มาซะกิ นิชิฮาระ ที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ ที่ผมเก็บมาเล่าสู่กันฟัง ก็เพราะได้เห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้น พร้อมๆกันหลายอย่างในงานนี้
อย่างแรกคือคุณ มาซะกิ นิชิฮาระ ซึ่งเป็นครูสอน อัธยาศัยดีมาก อ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นกันเอง อันเป็นบุคลิกของคนมีฝีมือจริงๆ เรื่องฝีมือและความรู้คงไม่ต้องพูดถึงครับ ตำแหน่งแชมพ์ 5 สมัย เป็นเครื่องยืนยัน การแข่งลักษณะนี้ ฝีมืออย่างเดียวไม่พอครับ ผู้ชนะคือผู้ที่เข้าใจหลักพลศาสตร์ของตัวรถ (VEHICLE DYNAMICS) อย่างถ่องแท้ รวมทั้งพฤติกรรมของรถที่ลิมิทด้วย และอาจจะต้องเป็นคนละเอียดอ่อนอย่างมาก รวมทั้งความอดทนในการฝึกซ้อมอย่างหนักด้วย
อย่างที่สองคือความสามัคคีของบรรดาผู้นิยมรถตรานี้ ซึ่งเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นมานานพอสมควร และมีกิจกรรมร่วมกันปีละหลายครั้ง ทั้งการฝึกทักษะขับรถ การประลองความเร็ว (ในสนามแข่ง) การท่องเที่ยวร่วมกัน ที่ผมเห็นว่าน่าจะมีเพิ่ม คือทำบุญกุศล ซึ่งถ้าจะให้สนุกก็ต้องควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ ด้วย ประเภทกฐินช่วยประเทศอะไรทำนองนี้ไม่เอานะครับ ลงท้ายก็ไปกองรอให้นักการเมืองชั่วผ่องถ่ายไปเข้ากระเป๋ากันในวันข้างหน้า ทำบุญโดยตรงแบบเห็นกับตาดีกว่า มีผู้ขัดสนยิ่งยวดอยู่อีกมากมายครับ แม้เงินหลักหมื่นก็มีค่ามากมายสำหรับพวกเขา ทั้งเด็กเล็ก โรงเรียน วัด ฯลฯ แล้วยังช่วยลบอคติที่คนมองคนชอบความเร็วอย่างพวกเราได้ทางหนึ่งด้วย
อย่างที่สามคือ การได้เห็นอนาคตของรถตรานี้ในเมืองไทย ที่ผมเฝ้ามองด้วยความกังวลมาหลายสิบปีแล้ว ว่าจะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยหรือไม่ (แบบ เรอโนลต์ และเฟียต) เพราะเป็นรถคุณภาพสูงที่ผมเสียดาย คนรักสัตว์ป่ากลัวสัตว์บางชนิดสูญพันธุ์แค่ไหน คนชอบรถอย่างผมก็กลัวรถดีๆ สูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยแค่นั้นเหมือนกัน มีรถหลายตราหรือยี่ห้อที่ถูกคนหลายตระกูลพยายามทำลาย (แบบไม่ตั้งใจ คือขายอย่างเดียว ไม่บริการ ไม่ซ่อม ไม่ห่วงลูกค้า) ทำนองนี้ บางยี่ห้อที่ดีจริงก็ยังรอดมาได้ ด้วย
คุณภาพของตัวมันเอง และชื่อเสียงรวมทั้งภาพพจน์ในระดับสากล ดูเหมือน ซูบารุ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในจำนวนนั้นครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52863