ร่มไม้ชายศาล
ให้ยืมรถต้องคิด
เชื่อว่ามิตรรักแฟนเพลงคงเคยได้ยินที่เขาบอกว่า
"เมีย ปืน รถ ไม่บังควรให้ยืม"
สำหรับเมีย และปืนนั้นชัวร์อยู่แล้ว ไม่มีใครเขาให้ยืม ไม่ว่าจะใจดีแค่ไหน ถ้าจะยกเว้นกันบ้างก็เฉพาะเรื่อง "ปืน" เมื่อเกิดเหตุวิกฤติ มีภัยมาจู่โจม ต้องช่วยกันต่อต้านศัตรู แบบนี้เอาปืนมาแจกจ่ายให้ยืมได้อยู่หรอก อย่างน้อยคนให้ยืมก็อยู่ด้วยในเหตุการณ์ รู้ว่าเขาเอาปืนไปทำอะไร รับผิดชอบได้แค่ไหน
กรณีที่เกี่ยวกับ "รถ" ซึ่งเน้นกันที่ "รถยนต์" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคิดต้องไตร่ตรองเช่นกัน แม้จะไม่เคร่งครัดเหมือนเมียกับปืน
ถ้าเป็นคนในครอบครัว เป็นผัวเมีย พ่อแม่ พี่น้อง พี่ป้าน้าอา ตามปกติก็อนุโลมหยิบฉวย หรือหยิบยืมกันได้ เพราะรู้หน้ารู้ใจ และรับผิดชอบร่วมกันอยู่แล้ว ข้อห้ามเรื่องยืมรถจึงหมดไป
แต่ถ้าเป็นเพื่อน คนรู้จัก หรือคนอื่น การให้ยืมรถยนต์ เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับตัวผม แม้จะเชื่อมือตัวเอง แม้จะรับผิดชอบได้ แม้จะไม่ใช่อาชญากรที่เอารถของคนอื่นไปทำผิดคิดร้าย แต่การยืมรถยนต์ใครมาใช้ ผมถือว่าไม่จำเป็นอย่างยิ่งยวดจริงๆ จะไม่ทำ
เพราะเกรงใจเห็นใจเจ้าของรถที่เราไปยืม ยังไงเสียเขาต้องวิตกกังวลจนได้ ไม่มากก็น้อย เท่ากับเราไปเบียดเบียนโดยตรง ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อน น้อยนักน้อยหนาที่คนให้ยืมจะสบายใจหายห่วง เว้นเสียแต่เป็นคหบดีเศรษฐีใหญ่ใจกว้าง เกิดอะไรขึ้นมากับรถที่ให้ยืมเขารับไหว เข้าข่ายขนหน้าแข้งไม่ร่วง
วัดใจตัวเองดูก็ได้ว่า มีใครมายืมรถยนต์เราไปขับ เราคิดยังไง เรา ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าคิดจะยืมรถเมื่อไหร่ ขอให้นึกถึง "รถเช่า" ซึ่งแท้ที่จริงมีอยู่ทุกประเภท พร้อมคนขับอีกต่างหาก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย นั่นเป็นทางออกที่ดีกว่าเยอะเลย แต่เรามักจะลืม
ขณะเดียวกัน ถ้ามีใครที่เราเกรงอกเกรงใจมาขอยืมรถยนต์ไปใช้ เมื่อไม่สบายใจไม่แน่ใจไม่มั่นใจ จิ๊งจกทัก หรือหมอดูทำนายว่าจะไม่ดี ทางออกที่ง่ายเหลือเกิน คือ หารถเช่าให้เขาไปเลยสักคันหนึ่ง เสียเงินซะหน่อยสบายกว่ากันเป็นไหนๆ
คดีนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดจากการยืมรถยนต์ไปใช้ แล้วคนยืมทะลึ่งเอาไปทำผิด โดนตำรวจจับยึดรถไว้ ขอคืนรถไม่ได้ ขณะที่รถยังผ่อนส่ง ลงท้ายกลายเป็นคดีขึ้นสู่ศาลและมีแง่มุมที่น่าสนใจมาก ไม่เชื่อตามไปดูได้เลย
"นส. มีเสน่ห์" เธอเช่าซื้อรถยนต์จาก บริษัทไฟแนนศ์แห่งหนึ่ง โดย "นายมีกึ๋น" เป็นคนค้ำประกัน สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ด้วยถ้าผิดนัดค้างค่างวดโดนเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี โหดไม่เบา
ผ่อนส่งได้ 7 งวด นส. มีเสน่ห์ ใจกว้างให้ "นายศีลธรรม" ซึ่งมีชื่อแซ่น่าเชื่อถือยืมไปใช้ ปรากฏว่าได้เรื่อง นายศีลธรรม ดันเอารถไปขนของเถื่อน โดนตำรวจจับ ยึดรถไว้เป็นของกลาง นส. มีเสน่ห์ ไปขอคืนรถจากร้อยเวร ไม่สำเร็จ ร้อยเวรบอกว่าไม่ใช่เจ้าของรถ คุณต้องให้บริษัทมาขอเอง
นส. มีเสน่ห์ วิ่งโร่ไปที่บริษัทแจ้งเรื่องให้ทราบ บริษัทให้ใบมอบฉันทะไปขอรถคืน ไม่สำเร็จอีกตามเคย ข้าราชการซึ่งกินเงินเดือนประชาชน คือ ร้อยเวรมาในแนวใหม่ บอกว่าเสนอเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาแล้วเขาสั่งว่ารอฟังคำสั่งศาลเสียก่อนว่าจะคืนให้หรือไม่ เจ้าตัวเซ็งเป็นอันมาก ทำหนังสือแจ้งบริษัทไฟแนนศ์ถ้าไม่ไปเอารถมาคืนให้จะไม่จ่ายค่างวดอีกต่อไป
เวลาผ่านไป นส. มีเสน่ห์ขาดส่งงวดหลายงวด บริษัทไฟแนนศ์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา แล้วไปเอารถคืนจากโรงพัก เท่านั้นไม่พอยังทวงถามให้ นส. มีเสน่ห์ กับ นายมีกึ๋นจ่ายค่างวดที่ค้างพร้อมค่าเสียหาย เมื่อ นส. มีเสน่ห์ เพิกเฉย บริษัทก็ยื่นฟ้อง บังคับให้จ่ายค่างวดที่ค้าง 11 งวด พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี
นส. มีเสน่ห์ จำเลยที่ 1 สู้คดี อ้างว่า ไม่ได้ผิดสัญญา เพราะรถโดนตำรวจยึดไป ได้แจ้งให้บริษัททราบแล้วว่า ถ้าไม่ไปเอารถมาคืนให้จะไม่จ่ายค่างวด จึงขอให้ยกฟ้อง
นายมีกึ๋น ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
บริษัทไฟแนนศ์ซึ่งเป็นโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ เพื่อเอาชนะ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้ นส. มีเสน่ห์ และ นายมีกึ๋น ชนะคดีเช่นเคย
บริษัทไฟแนนศ์ไม่ยอมราข้อง่ายๆ ยื่นฎีกาขึ้นไป ยืนยันว่า นส. มีเสน่ห์ เป็นฝ่ายผิดสัญญาอย่างชัดๆ
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ผ่านแว่นหนาเตอะ แล้วชี้ขาดออกมาว่า
แม้จะได้ความว่า นส. มีเสน่ห์ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการที่นายศีลธรรมเอารถไปทำผิด แต่การที่รถถูกยึดเพราะ นส. มีเสน่ห์ ให้ นายศีลธรรม ยืมรถไป ถือว่าเป็นความผิดของ นส. มีเสน่ห์ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของบริษัทไฟแนนศ์ นส. มีเสน่ห์ จึงอ้างว่าไม่ได้ใช้รถเพราะโดนตำรวจยึดเป็นการผิดวัตถุประสงค์ในการเช่าซื้อ ไม่ต้องจ่ายค่างวด ไม่ได้ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังไม่ระงับ นส. มีเสน่ห์ มีหน้าที่ต้องจ่ายค่างวด
ข้อที่ นส. มีเสน่ห์ อ้างว่าบริษัทไม่ไปขอรถคืน จึงไม่ผิดสัญญา ไม่ต้องจ่ายค่างวดก็ฟังไม่ขึ้น เมื่อได้ความว่าบริษัทได้ให้ใบมอบฉันทะไปขอรับรถคืนแล้ว เพียงแต่ตำรวจไม่คืนให้เองต่างหาก บริษัทจึงฟ้องเรียกเอาค่างวดที่ค้างได้
ประเด็นเรื่องดอกเบี้ยที่บริษัทอ้างว่า ถ้าผิดนัดค้างค่าเช่าซื้อต้องจ่ายร้อยละ 21 ต่อปี นั้น ศาลฎีกาเตะสกัด บอกว่าเรียกเอาได้เมื่อผิดนัด แต่ถ้าเป็นการค้างชำระเรียกเอาได้แค่ร้อยละ 7 ครึ่ง/ปี
ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับให้ นส. มีเสน่ห์ และ นายมีกึ๋น จ่ายตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ดอกเบี้ยคิดให้ร้อยละ 7 ครึ่ง/ปีเท่านั้น
คดีนี้มีข้อที่น่าสนน่าศึกษา คือ
หนึ่ง การให้คนยืมรถแล้วเขาเอาไปใช้ทำผิดโดนเจ้าหน้าที่ยึดไป แม้คนให้ยืมไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการทำผิด ศาลก็ฟันธงว่าเป็นความผิดที่ให้คนยืมรถไป จึงอ้างไม่ได้ว่าไม่ได้ใช้รถในระหว่างเช่าซื้อ จึงไม่ต้องส่งค่างวด
นั่นหมายความว่า รถโดนยึดไปเป็นปีก็ต้องจ่ายค่างวดเรื่อยไป สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ได้ใช้รถ สามารถฟ้องเรียกร้องจากคนที่เราให้ยืมรถไป
สอง เมื่อรู้ว่ารถที่เราเช่าซื้อโดนตำรวจยึด เราขวนขวายไปขอรถคืนแล้ว เอาใบมอบฉันทะของไฟแนนศ์ไปขอคืนแล้วไม่ได้ ตรงนี้มีข้อที่น่าคิดต่อไปว่า เราจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้หรือไม่
เมื่อดูจากคำตัดสินของศาลฎีกา คงบอกเลิกยังไม่ได้ เพราะต้นเหตุของการถูกยึดรถเนื่องจากเราให้เขายืมรถไปนั่นเอง คนเช่าซื้อจึงต้องรับผิดชอบอย่างที่บอกไว้ในข้อ 1
เว้นเสียแต่มีหลักฐานชัดว่า บริษัทไฟแนนศ์อยู่ในวิสัยที่จะขอรถคืนได้จริงๆแล้วไม่ขวนขวาย คนเช่าซื้อก็โยนความผิดไปให้ไฟแนนศ์ และบอกเลิกสัญญาไม่ต้องรับภาระค่าเช่าซื้อต่อไป ซึ่งก็เสียหายเสียเปรียบอยู่ดีเพราะจ่ายเงินดาวน์กับเงินผ่อนไปจำนวนหนึ่งเปล่าๆ
สาม เรื่องดอกเบี้ยสำหรับค่างวดที่ค้างชำระ ตรงจุดนี้ไม่แน่เสมอไปที่ศาลจะตัดสินเป็นคุณแก่ผู้เช่าซื้ออย่างคดีนี้ ด้วยการให้รับภาระแค่ร้อยละ 7 ครึ่ง/ปี เพราะบางคดีศาลก็ให้จ่ายเต็มๆ เหมือนกัน
ครับถ้าศาลฎีกายืนตามคำตัดสินคดีนี้ทุกเรื่อง คนเช่าซื้อก็อนุโมทนาสาธุการหลายเด้อ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3974/2533
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52848