เล่นท้ายเล่ม
ชีวิตกับพระพุทธศาสนา
ผมนับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่ และผมก็ชอบรดน้ำมนต์ ชอบให้คนรุ่นลูกหลานมารดน้ำดำหัวในเทศกาลสงกรานต์ เพราะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ชีวิตเป็นมงคล
ทุกวันนี้ไปทำบุญถวายสังฆทานแด่พระภิกษุที่วัดในกรุงเทพ ฯ เมื่อท่านรับสังฆทาน ให้พรแล้ว ท่านก็มักจะถือโอกาสตักน้ำมนต์รดให้แก่เราทุกครั้ง
พุทธศาสนิกชนที่รับน้ำมนต์ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ ต่างก็ก้มหัวรับกันไปตามแต่พระท่านจะเมตตา
ไม่มีใครตั้งคำถามว่า น้ำมนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ ? น้ำมนต์ที่พระภิกษุท่านสาดมาให้เรานั้นสามารถล้างบาปเราได้หรือ ?
ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะในพระพุทธศาสนา และพบหลักในเรื่องของน้ำศักดิ์สิทธิ์มีความดังต่อไปนี้
"ข้าแต่พระโคดม" สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ผู้ชวนพระพุทธเจ้าไปอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์กล่าว "เพราะแม่น้ำพาหุกาอันโลกนับถือ อันคนส่วนมากถือว่าเป็นบุญนที เป็นที่ลอยบาปกรรมที่ทำแล้ว"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบดังนี้
"คนพาล มีกรรมอันดำ (ทำความชั่ว) แม้ไปสู่แม่น้ำพาหุกา แม่น้ำอธิกกา แม่น้ำคยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสดี ท่าน้ำปยาคะ หรือแม่น้ำพาหุมตีเป็นนิตย์ ก็ไม่บริสุทธิ์"
"แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุกา จักทำอะไรได้เล่า เพราะแม่น้ำไม่พึงทำนรชนผู้มีเวรทำกรรมหยาบช้า มีบาปกรรมให้หมดจดได้เลย"
"ผัคคุ (มงคลฤกษ์ในเดือนมีนาคม-ถือกันว่า การอาบน้ำในวันเช่นนั้น ล้างบาปที่ทำไว้แล้วแม้ตั้งร้อยปีได้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสก่อน มงคลเช่นนั้นจะเกิดขึ้นเอง) อุโบสถ (การจำศีลตามระยะกาลมีกำหนด) และวัตร (ความประพฤติ) ย่อมสำเร็จแก่ผู้บริสุทธิ์ มีการงานสะอาดทุกเมื่อ"
"ดูก่อน พราหมณ์...ท่านจงอาบน้ำในธรรมวินัย จะทำความเกษมในสัตว์ทั้งหลาย ถ้าท่านจะไม่กล่าวเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ให้ มีความเชื่อ (ตามเหตุผล) ไม่ตระหนี่ ดังนี้แล้ว ท่านจะไปอาบน้ำคยาทำอะไร แม้น้ำดื่มของท่านเอง ก็เป็นแม่น้ำคยาแล้ว"
พระดำรัสตอบของพระพุทธเจ้านั้นให้ความหมายอย่างชัดแจ้ง สอนให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายระลึกด้วยสติไม่ต้องขวนขวายหาน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใดๆ เพียงแต่ตั้งตนในธรรม ไม่เบียดเบียน ให้ทานคือการเสียสละ ไม่ลักขโมยในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่มุสาวาที ก็ไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำเพื่อล้างบาปกรรม
แม้แค่น้ำดื่มปกติของเราเองทุกวัน ก็ย่อมเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้
และยังมีพระพุทธพจน์อีกตอนหนึ่ง ดังนี้ "ถ้าบุคคล จะพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการรดน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว กบ เต่า นาก จระเข้ และสัตว์น้ำทั้งปวง ก็จักไปสวรรค์ได้เป็นแน่"
และ "ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ ซึ่งคนส่วนมากพากันอาบ แต่ผู้ใดมีสัจจะ มีธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้สะอาด เป็นพราหมณ์"
หลักในเรื่องนี้พระพุทธศาสนากำหนดมาว่า ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่น้ำ แต่อยู่ที่การประพฤติดี และเข้ากับหลักของการทำบุญในพระพุทธศาสนา 3 ประการคือ
ทาน อันได้แก่การให้ การเผื่อแผ่แบ่งปัน
ศีล อันได้แก่ความประพฤติสุจริต มีกาย วาจาที่เกื้อกูล ไม่เบียดเบียนกัน
ภาวนา อันได้แก่การฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ เจริญปัญญา
บุคคลใดเข้าถึงทั้ง 3 ประการนี้แล้ว สังคมจะเต็มไปด้วยความดีงาม มีแต่การสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดีซึ่งกัน และกัน เกื้อกูลเอื้ออาทรกันและกันด้วยความเมตตา ไม่เบียดเบียนหรือช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ความดีความงามทั้งปวงไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ภายในตัวของเรานี้เอง อยู่ที่ความประพฤติโดยชอบ และอยู่ที่การปฏิบัติดี
ถ้าแม่น้ำที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์สามารถล้างบาปล้างกรรมได้ สัตว์น้ำทั้งหลายทั้งปวงก็ย่อมไปสวรรค์กันได้หมด เช่นนี้แล้วสัตว์น้ำทั้งปวงมิย่อมจะดีเลิศกว่ามนุษย์หรือ
แต่ที่ผมว่ามานี้อย่าคิดว่าผมแอนทีน้ำมนต์ การรับน้ำมนต์จากพระก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นความเชื่อที่เกิดจากภายในจิตใจ เมื่อเป็นความเชื่อแล้วก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่คนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เท่ากับเราไม่เบียดเบียนใคร
ถึงอย่างไร หากเราประพฤติดี พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า แม้น้ำอาบหรือน้ำดื่มของเราก็คือน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
หลักของการไม่เบียดเบียน ดูจะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เป็นหลักอหิงสา ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่จองเวร ด้วยคติธรรมง่ายที่สุดคือ เมื่อเรารักตัวของเรา ไม่ปรารถนาความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ตัวเราฉันใด บุคคลอื่นก็ย่อมมีความรู้สึกฉันนั้น
ขึ้นชื่อเป็นมนุษย์ รูปชั่วตัวดำ หรือไม่สมประกอบ หรือยากจนร่ำรวย หรือสุขภาพดีไม่ดีอย่างไร ล้วนต่างก็เป็นเจ้าของชีวิตที่มีค่าสูงอย่างเท่าเทียมกันเสมอ
แม้สัตว์เดรัจฉานก็ย่อมรักตัวของมันเอง รู้จักวิธีหลบหลีกอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิตของมันได้อย่างธรรมชาติที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้พระพุทธศาสนาจึงเน้นไม่ให้มีการเบียดเบียน
คำไทยที่ว่า "สาดน้ำรดกัน" ก็คือ เปียกไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย พระพุทธศาสนาของเราสอนว่าอย่าจองเวรซึ่งกันและกัน เพราะการจองเวรย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ ไม่มีความสุขบังเกิดอย่างแน่นอน มีแต่ต้องระมัดระวังตัวทุกจังหวะ หรือไม่ก็คิดแต่ความมุ่งร้ายตอบโต้กันไป
พระพุทธศาสนาจึงห้ามการจองเวร ให้ละเว้น แม้ในเกมกีฬาก็ต้องรู้จักแพ้ชนะ ไม่ใช่มุ่งมั่นจะเอาชนะเอาแพ้ หักล้างกันและกันอย่างถึงที่สุด กีฬาสอนให้คนหนักแน่น แพ้ก็คือแพ้ ชนะก็คือชนะ ไม่ชนะก็แพ้กีฬามีไว้เพื่อการออกกำลังกาย เสริมสร้างปัญญา ฝึกกำลังใจให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม ให้สติแก่เราเสมอในเรื่องของการแพ้และการชนะ
หลักในเรื่องฤกษ์ยามก็เหมือนกัน ผมเชื่อว่า ควรเป็นไปตามความสะดวกจะเหมาะสมกว่าการถือฤกษ์ยาม
เพื่อนบางคนของผม ก่อนจะสตาร์ทรถยนต์ต้องดูเข็มนาฬิกาถ้ามีจังหวะนาทีที่เป็นเลขคี่ มันจะไม่ยอมสตาร์ท ต้องรอให้เดินไปถึงเลขคู่จึงจะออกรถไปได้
ยิ่งเป็นเวลา 12.00 น. มันจะไม่ยอมสตาร์ทรถอย่างเด็ดขาด
เรื่องนี้ก็เป็นความเชื่ออีกเหมือนกัน หลบหลู่ไม่ได้ และก็ไม่ตั้งใจให้เพื่อนต้องเปลี่ยนพฤติกรรม
แต่ความสะดวกย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าต้องขับรถก็ควรอยู่ในความไม่ประมาท หมั่นตรวจดูสภาพความเรียบร้อยของเครื่องยนต์กลไกอยู่เป็นนิตย์ หากสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ มีอาการอ่อนเพลีย หรือง่วงนอนก็ชอบที่จะหยุดการขับรถลงชั่วครู่ ประพฤติได้เช่นนี้แล้วการขับรถก็น่าจะไปได้ดีและปลอดภัยไม่ว่าจะเดินทางระยะใกล้หรือไกล
ชีวิตกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ดูเหมือนจะแยกกันไม่ได้เลย ความจริงต่างๆ ของชีวิตล้วนน่ามหัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นเวลานานนับพันๆ ปี
ไม่ต้องดูอะไรมาก เพียงท่านตรัสว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ก็เป็นความจริงมาถึงทุกวันนี้คนที่ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยนั่นแหละคือคนที่ร่ำรวยที่สุด
ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเข้าไปเที่ยวโรงพยาบาลเอกชนดูสักแห่ง ลองตรวจดูแผ่นพับที่บอกราคาการรักษาพยาบาลดูเถอะจะได้รู้ถึงความจริง
30 บาทรักษาทุกโรค เป็นแค่บางสถานพยาบาลตามที่กำหนดเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับสถานพยาบาลทุกแห่งครับ
เรื่องโดย : บรรเจิด
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52794