มาตรวัดตลาดรถ
ยังไม่ยุบ
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์
เดือนมกราคม ปี '49 กับ '48
ตลาดรวม ,ลด ,2.8 %
รถยนต์นั่ง ,ลด ,0.6 %
กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ ,เพิ่ม ,1.3 %
รถอเนกประสงค์ (MPV) ,ลด ,46.9 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ,เพิ่ม ,22.2 %
[/table]
เปล่านะครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
ที่จั่วหัวเอาไว้อย่างนั้น ก็เพราะยอดการขายรถยนต์ในเดือนมกราคมลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน ยังไม่ยุบตัวพรวดพราดเหมือนที่เคยเป็นมา
สิริรวมเดือนแรกของปีนี้ ยอดการขายลดลงเพียง 2.8 % เหลือตัวเลข 50,454 คัน ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจก่อนการชุมนุมกันของคนเบื่อหน้านายก ฯ ที่ท้องสนามหลวง ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี
เรามาคุยกันเรื่องที่จะทำให้แนวทางการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ โชติช่วงชัชวาลไปดีกว่า
ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ การขยายตัวของการค้า และการลงทุนโลกกำลังถูกทดสอบด้วยภาวะราคาน้ำมันแพง อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นโดยสำนักวิจัยหลายแห่งพากันคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.3 จากการชะลอตัวลงของความต้องการสินค้าและบริการ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและจีน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.6 โดยอัตราเงินเฟ้อโลกในปี 2548ที่ผ่านมา ประเมินกันว่าจะขยายตัวประมาณ 2.6 % เป็นผลจากราคาน้ำมันแพงอีกทั้งราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ในช่วงสิ้นปี 2547 ถึงต้นปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวของซีกโลกตะวันตกของเมืองนอกเมืองนาเขาโน่น
สำหรับทางด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในปี 2548 อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นโดยธนาคารกลางแห่งสหรัฐ ฯ เป็นผู้นำในการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 การดำเนินนโยบายการเงินทั้งของสหรัฐ ฯ
และธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มมีข้อจำกัดและยากลำบากมากขึ้นขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันแพง เศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ทางด้านเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ในปี 2548 มีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5 การขาดดุลการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมหาศาลอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้วมีความน่าเป็นห่วงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อดุลการคลังยังคงขาดดุลสูงมากแม้ว่าจะพยายามลดการขาดดุลลง ในปีงบประมาณ 2548 ก็ยังคงขาดดุลสูงถึง 331,246 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ
ขณะเดียวกัน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ฯ อาจไม่สามารถดึงดูดเงินทุนได้มากนักรวมทั้งอาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดขึ้นต่อภาวะปั่นป่วนของตลาดทุนทั่วโลกและส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่การกดดันให้จีนลอยค่าเงินหยวนด้วยการปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าและบริการของสหรัฐ ฯ ถูกสกัดกั้นด้วยบรรดาธนาคารกลางในประเทศเอเชีย โดยเฉพาะธนาคารกลางญี่ปุ่น และ จีน
นั่นคือความเป็นไปของสภาวะเศรษฐกิจของทั่วโลก ซึ่งก็ต้องไม่ลืมเหลียวมองทางญี่ปุ่นด้วย เพราะธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด ที่เงินฝากธนาคาร แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลยก็ตาม
เมื่อมองเมืองนอกเมืองนาแล้วก็ต้องไม่ลืมหันกลับมามองตัวเองด้วย ปีนี้บรรดานักการตลาดคาดหมายว่ายอดการขายจะเพิ่มกันแถวๆ 5 % จากปีที่แล้วที่ขายกันอยู่ในระดับ 7 แสนคันปีนี้เล็งกันไว้ว่า ไม่ควรจะเกิน 7 50,000 คัน
แต่ที่แน่ๆ เดือน มีนาคม เมษายน ปีนี้ เม็ดเงินสะพัดกันทั่วประเทศแน่นอน
แล้วอย่าลืมไปทำหน้าที่พลเมืองดีในวันที่ 2 เมษายน นะครับ
กลับมาดูยอดการขายประจำเดือนมกราคมที่จะเป็นเครื่องยืนยันสภาพเศรษฐกิจของบ้านเราได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับปีก่อนแล้ว เดือนมกราคมนี้ ยอดการขายลดลงเพียง 2.8 % ยังอยู่ในระดับ 50,454 คัน แม้ว่าจะมีการยักย้ายถ่ายตัวเลขกันบ้างเล็กน้อย
ตำแหน่งแชมพ์ประจำเดือน ยังคงครองความเป็นผู้นำอย่างเหนียวแน่น โตโยตา ขายได้ 17,903 คัน ลดลงมากกว่าตลาด 14.0 % ส่วนแบ่ง 35.5 % ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงตำแหน่งว่าจะสามารถยืนยาวอยู่ได้นานสักแค่ไหน อันดับที่สอง อีซูซุ ขายมากกว่าเดิมเล็กน้อย 15,310 คัน เพิ่มขึ้น 2.2 % ส่วนแบ่ง 30.3 % อันดับที่สาม ฮอนดา ขาย 4,697 คัน เพิ่มขึ้น 21.0 % ส่วนแบ่ง 9.3 % แสดงว่าสามารถเรียกความมั่นใจจากลูกค้าคืนมาบ้างแล้วแม้บางรุ่นจะยังมีเสียงหอนอยู่ก็ตาม
อันดับที่สี่ มิตซูบิชิ ยังไปได้ฉลุยด้วยแคมเปญ ขาย 3,282 คัน เพิ่มขึ้น 13.0 % ส่วนแบ่ง 6.5 % และอันดับที่ห้า นิสสัน ก็ขายเพิ่มเหมือนกัน 2,970 คัน เพิ่ม 19.0 % ส่วนแบ่ง 5.9 %
มาถึงยอดการขายรถยนต์นั่ง ยอดลดลงมากกว่าตลาดรวมอีกครั้ง หนนี้ลดลง 0.6 % ขายกันได้แค่ 11,557 คัน โดยตำแหน่งแชมพ์ ลดลงมากกว่าตลาดอีกครั้ง โตโยตา ลดลง 14.0 % ขายได้เพียง 4,878 คัน ส่วนแบ่ง 42.2 % ในขณะที่ตำแหน่งที่สอง ทำตัวเลขไล่ขึ้นมาติดๆ ฮอนดา ขาย 4,627 คัน เพิ่มเยอะ 30.0 % ส่วนแบ่ง 40.0 % ที่สาม ฟอร์ด แซงเรื่อยเปื่อย ขายได้ 459 คัน เพิ่มเยอะ 394.0 % ส่วนแบ่ง 4.0 % ที่สี่ นิสสัน ขาย 463 คัน ลดลง 7 % ส่วนแบ่ง 3.8 % และที่ห้า มาซดา ขายลดลงเยอะ 36.0 % ขายได้ 263 คัน ส่วนแบ่ง 2.5 %
รถเสียภาษียอดเยี่ยม แจกวาร์ ขายได้ 7 คัน และ โพร์เช ขาย 2 คัน
ประเภทกระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ 1 ตัน 30,393 คัน เพิ่ม 1.3 % ตำแหน่งแชมพ์ อีซูซุ 13,733 คัน เพิ่ม 6.1 % ส่วนแบ่ง 45.2 % ที่สอง โตโยตา ขายได้ 8,483 คัน ลดลง 10.4 % ส่วนแบ่ง 27.9 % ที่สาม นิสสัน ขาย 2,302 คัน เพิ่ม 28.0 % แต่ส่วนแบ่งอยู่ที่ 7.6 %
รถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ยอดขายก็ยังคงลดลง เพราะชาวบ้านมัวแต่เฉลิมฉลองเทศกาลยังไม่ค่อยทำงานทำการกัน เพิ่ม 10.9 % ขายได้ 2,224 คัน โดยมีแชมพ์ อีซูซุ ขาย 721 คัน เพิ่มขึ้น 2.0 % ส่วนแบ่ง 32.4 %, ที่สอง ฮีโน ขาย 532 คัน ลดลง 15.7 % ส่วนแบ่ง 23.9 % และที่สาม โตโยตาขาย 491 คัน เพิ่มขึ้น 159.8 % ส่วนแบ่ง 22.1 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่รวมรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยรวม เพิ่ม 22.2 % ขาย 2,824 คัน โดยตำแหน่งแชมพ์ คือ โตโยตา ขายคนเดียว 1,952 คัน เพิ่มขึ้นถึง 89.7 % ส่วนแบ่ง 69.1 % ที่สอง อีซูซุ ขาย 491 คัน ส่วนแบ่ง 17.4 % และที่สาม ฟอร์ด ขาย 149 คัน ลด 54.2 % ส่วนแบ่ง 5.3 %
รถอเนกประสงค์อื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นรถตู้นั่นแหละครับ ลดลงเยอะ 46.9 % ขายกันได้ 831 คัน โดยมี โตโยตา นำโด่งเช่นเคย ขาย 626 คัน ลดลง 43.8 % ส่วนแบ่งตลาด 75.3 % มี มิตซูบิชิ ตามมาห่างๆ 107 คัน ลดลง 66.2 % ส่วนแบ่ง 12.9 %
นั่นคือสภาพก่อนมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ชาวบ้านเขาเรียกกันเล่นๆ ว่า ซุกหุ้นภาค 2 ทำเอาปั่นป่วนไปทั้งประเทศ
คนอะไร ได้เงินตั้ง 73,000 ล้านบาท แต่ไม่ต้องเสียภาษีสักบาท น่าสงสารนะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52793