ชีวิตคือความรื่นรมย์
ศิลปินแห่งชาติ 2548
ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นมา ผู้ที่รู้จักรักใคร่มักถามไถ่ว่าผู้เขียนได้รับรางวัลอะไรมา เพราะแว่วๆประกาศทางวิทยุ-โทรทัศน์ และเห็นผาดๆ ผ่านหนังสือพิมพ์อยู่บ้าง ผู้เขียนขออนุญาตท่านผู้อ่านนำมาตอบ ณ ที่นี้ว่า ไม่ใช่รางวัล แต่เป็นการประกาศเกียรติคุณที่เรียกว่า "ศิลปินแห่งชาติ"
"ศิลปินแห่งชาติ" เป็นโครงการที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวง ศึกษาธิการจัดตั้งขึ้น โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2528 ว่าให้ถือเอา "วันที่ 24 กุมภาพันธ์"ของทุกปีเป็น "วันศิลปินแห่งชาติ" ด้วยเหตุที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ทรงมีพระปรีชาล้ำเลิศในด้านศิลปกรรมต่างๆ ทั้งกวีนิพนธ์ ดนตรี และประติมากรรม สวช. จึงได้ทำโครงการขึ้นเพื่อคัดเลือกศิลปินสาขาต่างๆ ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ ว่าเป็นบุคคลที่สนับสนุนส่งเสริมงานด้านศิลปะของชาติ ตามรอยพระยุคลบาทให้ยืนยงคงอยู่สืบไป
นอกจากการสดุดีเชิดชูพระเกียรติยศแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถด้านศิลปะนานัปการ ทั้งด้านดุริยางคศิลป์ ด้านทัศนศิลป์และนฤมิตศิลป์แล้ว คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ใน"สวช." ยังได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายพระราชสมัญญา "อัครศิลปิน" แด่พระองค์ ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้รับพระมหากรุณาธิ
คุณ โปรดเกล้า ฯ ให้เข้าเฝ้าเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญานั้น เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2529
นอกจากนั้น สวช. ยังได้ขอพระราชทานพระราชานุญาต ถวายพระราชสมัญญาแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น "วิศิษฏศิลปิน" (อ่านว่า วิ-สิด-สิน-ละ-ปิน โดย "วิศิษฏ" แปลว่า "เลิศ ยอดเยี่ยม เด่น ประเสริฐ ดียิ่ง") ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงมีพระปรีชาล้ำเลิศ และทรงเอาพระทัยใส่-สนับสนุน-ส่งเสริมศิลปะแขนงต่างๆ อย่างจริงจัง โครงการศิลปินแห่งชาติ (ปัจจุบันสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) เริ่มคัดเลือกศิลปิน 4 สาขา เข้ารับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ (มีโล่และเข็ม) จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานแทนพระองค์ มาตั้งแต่ปี 2528 จนถึง ปี 2548 นี้ รวม 172 คน ได้แก่ สาขาทัศนศิลป์ 33 คน สาขาสถาปัตยกรรม 11 คน สาขาวรรณศิลป์ 26 คน และสาขาศิลปะการแสดง 102 คน
สำหรับปี 2548 นี้ มีผู้ได้รับคัดเลือกและประกาศยกย่องเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 จำนวน 9 คน คือสาขาทัศนศิลป์ 2 คน ได้แก่ นายทวี รัชนีกร และนายประเทือง เอมเจริญ (ประเภทจิตรกรรมทั้ง 2 คน) สาขาวรรณศิลป์ 2 คน ได้แก่ นายสถาพร ศรีสัจจัง และนายประยอม ซองทอง สาขาศิลปะการแสดง 5 คน ได้แก่ นายวิเชียร คำเจริญ (นักแต่งเพลงลูกทุ่ง ในนาม ลพ บุรีรัตน์) นายฉลาด ส่งเสริม (หมอลำนามแฝง ป. ฉลาดน้อย) นายมาณพ ยาระณะ (การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน) นายสำราญ เกิดผล (ดนตรีไทย) และนายศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (นาฏศิลป์)
ดังที่ได้เรียนมาแต่ต้น คนที่ได้รับประกาศยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติไม่ใช่ผู้ได้รับรางวัลเพราะไม่ใช่การประกวดหรือการแข่งขัน แต่เป็นการที่คณะกรรมการ (เท่าที่ทราบมาโดยไม่เป็นทางการ) 3 ระดับ คือ อนุกรรมการแต่ละสาขา สรรหาจากข้อมูลที่มีองค์กรทางศิลปะด้านนั้นๆ ส่งมาให้พิจารณาประกอบกับที่อนุกรรมการมีอยู่ เมื่อได้มติระดับนี้แล้ว ก็ส่งเรื่องให้กรรมการระดับสวช.พิจารณากลั่นกรองต่อไป เมื่อผ่านคณะกรรมการชุดนี้แล้ว จากนั้นจึงนำเข้าสู่การพิจารณาขั้นสุดท้ายของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อลงมติเห็นชอบในที่ประชุมแล้ว ก็ออกมาประกาศต่อสาธารณชน-เสนอสื่อมวลชนในทันใด การพิจารณาและคนที่เป็นกรรมการ จึงเป็นความลับตลอด การพิจารณาหลายขั้นตอนโดยเจ้าตัวผู้ถูกเสนอชื่อไม่มีโอกาสทราบ หากกรรมการพิจารณาจากผลงานที่ผู้นั้นประกอบมาเป็นเวลายาวนานตลอดชีวิตที่ผ่านมา และต้องกระทำติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน การประกาศเกียรติคุณนี้จึงคล้ายๆกับที่ฝรั่งเรียกว่า LIFETIME ACHIEVEMENT AWARD คนที่ได้รับยกย่องจะมีเงินประจำตำแหน่ง (ปัจจุบัน เดือนละ 12,000 บาท)และค่าสวัสดิการตามควรตลอดชีวิต
ในเนื้อที่อันจำกัดนี้ แม้ผู้เขียนปรารถนาที่จะลงประวัติ และผลงานของทุกท่าน ก็คงเป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งสาขาวรรณศิลป์ เพียง 2 คนก็คงลงได้ไม่ครบ จึงขออนุญาตลงคำประกาศที่ผู้เขียนได้รับ(เพราะตนเองก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่าใครเสนอ และได้เสนอข้อมูลเทียบเคียงกับใครอื่นอย่างไรบ้างมาได้ทราบพร้อมกับที่ประกาศผ่านสื่อมวลชนเช่นกัน)
คำประกาศมีดังนี้
"นายประยอม ซองทอง ปัจจุบันอายุ 71 ปี เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2477) ที่จังหวัดนครพนม เป็นผู้มีความสนใจและประทับใจในคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองของไทยมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ประยอม ซองทอง ได้แสดงความสามารถพิเศษด้านการประพันธ์ร้อยกรองอย่างโดดเด่นเมื่อครั้งเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาเขียนร้อยกรองที่เต็มไปด้วยความฝัน และจินตนาการของกวีที่อ่อนหวานและสะเทือนอารมณ์ ขณะเดียวกันก็แฝงความคิดเห็นต่อสภาพสังคมและเหตุการณ์บ้านเมืองไว้อย่างคมคาย
ประยอม ซองทอง ทุ่มเทเวลาในชีวิตให้กับการฝึกฝนเขียนคำประพันธ์ร้อยกรองอย่างเอาใจใส่จริงจังลุ่มหลงกับเสน่ห์ภาษาร้อยกรองที่ไพเราะงดงาม ผลงานจึงปรากฏสู่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นนักกลอนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป ผลงานที่เป็นที่กล่าวขวัญและเป็นที่จดจำกันของนิสิตนักศึกษาและประชาชนในช่วงนั้น ได้แก่ "จะอยู่ไปไย...ถ้า..."/"เพื่อและจาก...เพื่อนใจ"/"ธารทอง"/ชีวิตเราถ้าเหมือนเรือ"/ "ไหนศรัทธาอันยืนยง"/"กว่าโลกร้อง"/"หิ่งห้อย" เป็นต้น ซึ่งนับเป็นบทร้อยกรองที่งดงาม แฝงจินตนาการและสะท้อนความผูกพันของชีวิตกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ความคิดความฝันของ ประยอม ซองทอง หลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ปัจจุบันมีบทร้อยกรองที่เป็นสมบัติวัฒนธรรมของชาติไว้มากมาย ทั้งจากการรวมเล่มเฉพาะของตนและรวมกับนักกลอนร่วมสมัย ทุกชุดล้วนมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ บ่งบอกถึงความเป็นอัจฉริยะทางด้านการประพันธ์อย่างสมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้นประยอม ซองทอง ยังเป็นต้นแบบการเขียนที่ยึดมั่นหลักการเขียนคำประพันธ์ ทั้งยังเป็นผู้คอยให้คำแนะนำ สนับสนุนและส่งเสริมให้กำลังใจผู้สนใจการเขียนคำประพันธ์รุ่นหลังอย่างสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ริเริ่มและประสานงานการจัดตั้งกลุ่มนักกลอนร่วมสมัยเป็น "ชมรมนักกลอน" ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ และแนวทางจัดตั้งชมรมวรรณศิลป์ทั้งในและนอกสถาบันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมาจน
ถึงปัจจุบัน และเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และสืบทอดการแสดงสักวาอย่างแน่วแน่มั่นคงมากว่า 4 ทศวรรษ
"นายประยอม ซองทอง จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์พุทธศักราช 2548"
นั่นคือทุกถ้อยคำที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมประกาศต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน ซึ่งผู้เขียนคงไม่บังควรแก้ไขหรือตัดต่อเพิ่มเติมแต่ประการใด
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52792