รู้ลึกเรื่องรถ
รถของคุณใช้กี่ลูก ?
เคยลองนึกภาพไหมครับ ว่าบรรดาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่น กระจกไฟฟ้า เก้าอี้ปรับด้วยไฟฟ้า กระจกมองหลังปรับมุมด้วยไฟฟ้า ฯลฯ หรือ ระบบด้านความปลอดภัย เช่น ถุงลมนิรภัย หรือระบบบริหารเครื่องยนต์ที่มีเซนเซอร์ และวงจรอีเลคทรอนิคส์ควบคุม ซึ่งล้วนต้องใช้วงจรกระแสไฟฟ้าจากแบทเตอรี จะต้องใช้สายไฟมากขนาดไหน
ในรถรุ่นใหม่ที่ถูกผลิตอยู่ขณะนี้ ถ้าเป็นรถขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ และเป็นรถระดับหรูจากยุโรป ที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งที่ให้มาตามมาตรฐาน และที่ลูกค้าเลือกสั่งแบบจ่ายเงินพิเศษ สายไฟที่ต้องใช้ในรถทั้งคัน เป็นความยาวราวๆ 3 กิโลเมตรครับ ถ้ายังรู้สึกว่าก็ไม่ค่อยเห็นจะยาวเท่าไร ผมขอให้นึกถึงสายไฟยาวเส้นละ 1 เมตร จำนวน 3,000 เส้น ก็จะจินตนาการได้ว่ามันมากมายขนาดไหน
ในสภาพจริง สายไฟเหล่านี้มีขนาดไส้และเปลือกนอกใหญ่ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากหรือน้อย เช่น สายไฟจากเซนเซอร์วัดอุณหภูมิของน้ำในเสื้อเครื่องยนต์ ที่เราเรียกกันว่าน้ำหล่อเย็น จะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้อยมาก เพราะค่าที่ต้องป้อนให้คอมพิวเตอร์ของรถใช้ คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้า (VOLTAGE) แต่ถ้าเป็นสายไฟที่ต้องส่งพลังงานไฟฟ้า ไปแปรเป็นพลังงานกลหรือแรงขับเคลื่อน เช่น สายไฟฟ้าที่ส่งจากขั้วแบทเตอรี ไปยังมอเตอร์สตาร์ทก็จะใหญ่ขนาดนิ้วมือของเรา เพื่อให้มีพื้นที่หน้าตัดของไส้ลวดทองแดงมาก แล้วยังต้องใช้สายทองแดงเส้นเล็กๆ จำนวนมากมารวมกัน เพราะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ดีทางผิวของเส้นทองแดง
สายไฟในรถรุ่นใหม่ของเรา จึงมีความแตกต่างทั้งความยาว ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดพื้นที่หน้าตัด ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการกระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์ ว่ามากหรือน้อยเพียงใด โรงงานรถยนต์ที่ต้องเลือกแนววางสายไฟเหล่านี้ ให้มีความปลอดภัย และที่สำคัญต้องให้สั้นที่สุด เพื่อประหยัดทั้งต้นทุน และน้ำหนัก หลังจากทดสอบการวางสายไฟกับรถต้นแบบได้ราบรื่นแล้ว ในการผลิตจริงจะต้องมีการจัดหมวดหมู่ สายไฟที่ผ่านไปทางเดียวกัน จะถูกรวบไว้ด้วยกันให้เป็นระเบียบ
เราอาจเคยเห็นการประกอบตัวถังรถสมัยใหม่ ที่ใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรม ทำแทนคนได้แทบทุกอย่างแต่งานประกอบสายไฟยังต้องใช้ฝีมือของมนุษย์อยู่ครับ บางส่วนที่บรรจุในเปลือกพลาสติคแบบผ่าข้างได้ ก็จะกินเวลาน้อย (ญี่ปุ่นเป็นเจ้าของความคิดนี้ แล้ว "ฝรั่ง" เลียนแบบ) บางส่วนไม่เหมาะที่จะใช้วิธีนี้ ก็ยังคงใช้เทปพันสายไฟมัดรอบให้แน่น เฉพาะเทปที่ใช้ในรถหนึ่งคัน อาจยาวถึง 300 เมตร ส่วนปลายของสายไฟ ที่ต้องเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ เป็นหัวเสียบที่มีเปลือกพลาสติคหุ้ม จำนวนหัวเสียบของรถบางรุ่น อาจมากถึง 500 หัวครับ
งานประกอบชุดสายไฟ เป็นงาน "สะอาด" เบาแรง ต้องใช้ความละเอียดพอสมควร จึงเหมาะสำหรับพนักงานหญิงมากกว่า ในแผนกนี้ของทุกโรงงานจึงเต็มไปด้วยบุคลากรหญิง ถึงจะพยายามลดน้ำหนักอย่างเต็มที่แล้ว ชุดสายไฟนี้ก็ยังหนักเกินกว่าที่คนทั่วไปอย่างพวกเรานึก บางรุ่นอาจมีน้ำหนักถึง 70 กก. ข้อมูลสำหรับข่าวสาร อาจใช้เส้นใยแก้วนำแสงมาแทนได้ แต่การส่งพลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรีและอัลเทอร์เนเตอร์ของรถไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงต้องอาศัยเส้นโลหะเป็นตัวกลาง ซึ่งก็คือเส้นลวดทองแดงในสายไฟไปอีกนานครับ งานประกอบสายไฟของรถรุ่นใหม่ จึงยังคงเป็นงานที่โรงงานรถยนต์ยังไม่สามารถใช้หุ่นยนต์มาแทนมือคนได้ โดยเฉพาะตอนติดตั้งเข้ากับตัวรถ ถ้าไปถามพนักงานในแผนกนี้ ทุกคนจะตอบว่า "ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปให้นานที่สุด พวกเราจะได้ไม่ตกงานไงล่ะ"
บรรดาหัวเสียบที่ปลายสายเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เซนเซอร์ สวิทช์ หรือแผงวงจรอีเลคทรอนิคส์ ก็จะเป็นบรรดามอเตอร์ไฟฟ้าสารพัดขนาด ในรถเก๋งขนาดใหญ่ของเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งมีไม่ถึง 5 ลูก มาถึงวันนี้จำนวนนี้เพิ่มขึ้น 10 ถึง 20 เท่าแล้วครับ ยกตัวอย่าง เช่น บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 7 จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 50 ลูก ถ้าเจ้าของสั่งอุปกรณ์ที่ต้องเพิ่มเงินแบบเต็มที่หน่อย ก็อาจมีมอเตอร์ในรถถึง 100 ลูกขนาดต่างกันไป กินไฟแค่ไม่ถึง 1 ใน 10 ของแอมแปร์ ไปจนถึงกว่า 50 แอมแปร์ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าทำไมรถของเราถึงต้องใช้มอเตอร์มากมายขนาดนี้ ลองมานับกันเล่นๆ แบบไม่ต้องให้ครบถ้วน เอาพอให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงครับ
ตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ ก็ต้องใช้แล้ว 1 ลูก แล้วเป็นลูกที่ใหญ่ที่สุด แรงมากที่สุด และแน่นอนว่ากินไฟมากที่สุดด้วย โชคดีที่เราใช้มันในเวลาสั้นมาก ถ้าเป็นรถปกติที่เครื่องยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์แค่ 2 วินาทีกว่าๆ เท่านั้นครับ อย่างนานก็ไม่เกิน 4 วินาที ถ้าเกินกว่านี้ แสดงว่าเครื่องยนต์ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จริง ติดเครื่องเสร็จเปิด "แอร์" ให้มอเตอร์พัดลม (ตัวที่ 2) ทำงาน พอคอมเพรสเซอร์ทำงาน พัดลมระบายความร้อนของคอนเดนเซอร์แอร์ ก็ต้องทำงานด้วย (ตัวที่ 3) ถ้าเราปรับอุณหภูมิของรถที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิห้องโดยสารอัตโนมัติ ก็จะต้องมีการเปิด/ปิดลิ้นผสมระหว่างอากาศเย็นและอากาศอุ่น ด้วยมอเตอร์อีกเหมือนกัน เอาสัก 6 ลูกก็พอครับ บางรุ่นใช้เกิน 20 ลูก ปรับกระจกมองข้างทั้งบนล่างและซ้ายขวาของทั้งสองบาน ใช้มอเตอร์บานละ 2 ลูก ตอนนี้ก็ครบ 10 ลูกแล้ว ที่หน้าต่างทั้ง 4 บาน อีก 4 ลูก สำหรับยกกระจกขึ้นหรือหย่อนลง ใช้ปัดน้ำฝนอีก 1 ลูก ปรับมุมไฟหน้าให้สูงต่ำอีกข้างละลูก รุ่นใหม่ปรับไฟให้เลี้ยวตามล้อหน้าได้ด้วย อีกข้างละลูก หลังคาแบบ "รับแสงจันทร์" อีก 2 ลูก ชุดดึงประตูให้สนิทโดยไม่ต้องเหวี่ยง (ในรถหรู) อีกบานละลูก ม่านบังแดดหน้าต่างหลัง กับกระจกหลังรวมกัน 3 ลูก ส่วนที่ใช้กับระบบควบคุมเครื่องยนต์อีก 4 ถึง 7 ลูก จอทีวีแบบพับอัตโนมัติอีก 1 ลูก เก้าอี้ปรับด้วยระบบไฟฟ้า มีพัดลมระบายความชื้น บางรุ่นมีระบบนวดหลังให้ด้วย ใช้มอเตอร์ไม่ต่ำ
กว่า 15 ลูก สำหรับเก้าอี้แต่ละตัว ถ้าเป็นรุ่นเปิด/ปิด หลังคาอัตโนมัติ ลงไปเก็บไว้ในที่ใส่ของท้ายรถ ก็ต้องนับเพิ่มเข้าไปอีก
มีคุณก็ต้องมีโทษด้วย เป็นของคู่กันครับ จำนวนมอเตอร์ในรถของพวกเราที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ย่อมหมายถึงการเพิ่มโอกาส "เสีย" เพราะชำรุดหรือเสื่อมสภาพด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของผู้ใช้รถครับ ว่าทำไมรถรุ่นใหม่ๆ ราคาหลายล้าน ถึงไม่ทนทานปราศจากปัญหาจุกจิกให้สมราคาเลย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52783