มุมมองนักออกแบบ
PETRO-FUTURISM
หลังจากได้เห็น แนวโน้มการตกแต่ง และแนวทางการออกแบบรถยนต์จากงาน SEMA SHOW ที่ลาสเวกัส เมื่อปลายปีที่แล้วก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่า ทเรนด์ที่มาแรงที่สุด ก็คือการนำเอารถสปอร์ทอเมริกันในอดีต ยุค '60 และ '70 มาตกแต่งใหม่ ให้มีความแรง และสวยงาม จนสามารถนำมาใช้ในยุคปัจจุบันได้อย่างสบาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ของสหรัฐอเมริกาเตรียมโครงการย้อนยุครถของตนเองกันอย่างเร่งด่วน เริ่มจาก ฟอร์ด ที่ใช้กลยุทธ์นี้ก่อนใครเพื่อน โดย เจ เมย์ส นักออกแบบผู้ซึ่งนำกลยุทธ์การออกแบบสไตล์ RETRO-FUTURISM (ย้อนยุคแบบล้ำยุค) มาให้ชาวโลกได้รู้จัก ด้วยผลงานมากมายตั้งแต่ โฟล์คสวาเกน นิว บีเทิล และ ฟอร์ด ธันเดอร์เบิร์ด เป็นต้น และผลงานล่าสุดที่ได้ทำก่อนคู่แข่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้นำทเรนด์ตัวจริงเสียงจริง ก็คือ ฟอร์ด มัสแตง ใหม่นั่นเอง
ฟอร์ด มัสแตง คือ รถสปอร์ทที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงยุค '60 และ '70 ของสหรัฐอเมริกา ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จนสามารถกำหนดนิยามของรถลักษณะนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า "PONY CAR"
เหตุผลที่รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ก็เพราะมีองค์ประกอบที่ลงตัวในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การออกแบบในแนวสปอร์ท สมรรถนะสูง และราคา ที่คนทั่วไปก็สามารถเป็นเจ้าของได้
ตำนานของ มัสแตง ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1964 แบบของตัวถัง มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วจนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 10 ซึ่งรูปโฉมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดน่าจะเป็นในยุคแรกๆ ถึงขนาดที่คู่แข่งอย่าง จีเอม และ ไครสเลอร์ ต้องส่งรถแบบ "PONY CAR" นี้เข้ามาสู้ ได้แก่ เชฟโรเลต์ คามาโร และ ดอดจ์ชาลเลนเจอร์ ตามลำดับ
สำหรับ ฟอร์ด มัสแตง รุ่นล่าสุด เปิดตัวในปี 2005 โดยใช้แรงบันดาลใจจาก มัสแตง รุ่นแรกในยุค '60เป็นหลักโดยการออกแบบของ ซิด รัมนาเรศ ซึ่งได้รับการควบคุมดูแลของ เจ เมย์ส ผู้อำนวยการอาวุโสด้านออกแบบของ ฟอร์ด โดยตรง หลังจากเปิดตัวปรากฏว่า ผลตอบรับดีเกินคาด เรียกได้ว่าปี 2005ยอดขายรถสปอร์ททั้งหมดในสหรัฐอเมริกาเป็น ฟอร์ด มัสแตง ใหม่กว่า 50 เปอร์เซนต์
เมื่อเป็นเช่นนี้คู่แข่งอย่าง เชฟโรเลต์ คามาโร และ ดอดจ์ ชาลเลนเจอร์ จึงต้องเร่งพัฒนารถด้วยแนวทาง RETRO-FUTURISM นี้ให้เร็วที่สุดแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะ ฟอร์ด ได้ใช้แนวทางนี้จนประสบความสำเร็จล่วงหน้าไปแล้วกว่า 2 ปี ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ 2006 คู่แข่งยักษ์ใหญ่อีก 2 รายของสหรัฐอเมริกา ก็ได้อวดโฉม รถต้นแบบ 2 คัน คือ เชฟโรเลต์คามาโร และ ดอดจ์ ชาลเลนเจอร์ ตามแนวทางของ ฟอร์ด มัสแตง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เชฟโรเลต์ คามาโร ถือกำเนิดขึ้นในปี 1967 ซึ่งในช่วง 3 ปีแรก สามารถทำยอดขายไปได้เกือบ 7 แสนคัน (แต่ ฟอร์ด มัสแตง ทำได้สูงสุด 1.5 ล้านคัน) คามาโร ได้ปรับเปลี่ยนโฉมมาแล้ว 4 รุ่น จนถึง ปี 2002 ก็ได้เลิกผลิต ด้วยเหตุผลที่ผู้บริโภคต้องการรถที่เล็กและประหยัดน้ำมันมากขึ้นในยุคน้ำมันแพงจนกระทั่งปี 2006 จีเอม ก็ได้ตัดสินใจให้กำเนิดรถต้นแบบ คามาโร รุ่นใหม่อีกครั้งซึ่งคาดว่าจะออกจำหน่ายจริงได้ในปี 2007 การออกแบบก็ได้แนวคิดจากรุ่นปลายยุค '60 มาเป็นต้นแบบ เช่นเดียวกัน
ดอดจ์ ชาลเลนเจอร์ คือ รถในกลุ่ม "PONY CAR" ของค่าย ไครสเลอร์ ถือกำเนิดขึ้นในปี 1970-1974ซึ่งรถต้นแบบที่ถูกเปิดตัวล่าสุดก็ใช้แนวทางการออกแบบจากรถรุ่นแรกเช่นเดียวกัน โดยการคงเอกลักษณ์เดิมไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโครงสร้างตัวถังแบบไร้เสากลางในสไตล์ฮาร์ดทอพ ทำให้กระจกหน้าต่างทั้ง 2 ส่วน ต่อกันเป็นแนวยาวดูโปร่งไม่มีอะไรมาขั้น ส่วนเสาหลังดูหนาบึกบึน
สไตล์รถอเมริกันของแท้ คาดว่าโพรเจคท์นี้ น่าจะออกขายจริงได้ประมาณปี 2008
นอกจากรถย้อนยุคจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ 2006ก็ยังมีรถย้อนยุคจากอิตาลีอีกคันที่ใช้แนวทางเดียวกันนั่นก็คือ ลัมโบร์กินี มิอูรา ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1966 โดยนักออกแบบฝีมือก้องโลก มาร์เชลโล กานดินี ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าทีมออกแบบอยู่ที่ แบร์โตเน
เจ้า มิอูรา นี้ถือว่าเป็นรถรุ่นตำนานของ ลัมโบร์กินี เลยทีเดียวเพราะเป็นรุ่นที่ทำให้ชาวโลกรู้จักรถยี่ห้อลัมโบร์กินี อย่างแท้จริง
สำหรับรถต้นแบบคันล่าสุดนี้ได้รับการออกแบบใหม่โดย วัลแตร์ เด ซิลวา อดีตนักออกแบบของ เซอัต ที่ปัจจุบันย้ายมาเป็นหัวหน้าทีมออกแบบของ เอาดี และ ลัมโบร์กินี ซึ่งงานนี้ต้องคงความขลังของรูปทรงเดิมไว้ให้มากที่สุด จะไปเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้ สาเหตุที่ต้องมาเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาก็เพราะว่าตลาดของ ลัมโบร์กินี อยู่ในสหรัฐอเมริกากว่า 40 %
เจ้า มิอูรา คันใหม่นี้มีขนาดใหญ่กว่ารุ่น กัลญาร์โด เครื่องยนต์ วี 12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที กำหนดการผลิตขายอย่างเป็นทางการยังสรุปไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่รู้แน่ว่าต้องแพงแบบสุดๆ
จากการวิเคราะห์การใช้กลยุทธ์ "ย้อนยุคแบบล้ำยุค" หรือ RETRO-FUTURISM นี้ จะต้อง "บ่ม" บแรนด์ ให้มีความคลาสสิคได้ที่เหมือนไวน์ที่จะต้องบ่มไว้นานหลายสิบปีถึงจะได้คุณภาพ เช่นเดียวกับรถ 3-4 รุ่นนี้ ที่ต้องใช้เวลาบ่มความขลังอยู่ถึง 40 ปี โดยเฉลี่ยกว่าจะนำมาใช้ได้สังเกตจากปีจะอยู่ในช่วงยุค '60 ปลายๆ ถึง '70 ต้นๆ แทบทั้งสิ้น ถ้าใครทำตามสูตรนี้โอกาสประสบความสำเร็จก็น่าจะมากกว่าครึ่งแล้วแน่นอน
สุดท้ายนี้ขอทำนายล่วงหน้าไว้เลยว่าเราคงได้เห็นการย้อนยุคของรถจากแดนปลาดิบในไม่ช้านี้ด้วยแน่ๆ เตรียมสตางค์รอไว้ได้เลย
เรื่องโดย : แมน ดีไซจ์น
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : มุมมองนักออกแบบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52781