ร่มไม้ชายศาล
"คดีรถศาลให้จ่ายอ่วม"
ภัยจากการจราจรบนท้องถนนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในพริบตาเกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยเฉพาะลีลาการขับที่ขาดความรับผิดชอบ มาตรฐานต่ำกว่าเกณฑ์ในบ้านเรา เผลอไม่ได้ก็แล้วกัน
ปัญหาที่นำมาถกเถียงมากขึ้นถี่ขึ้นเกี่ยวกับประเด็นข้างต้นก็คือ "เท่าไร" ที่ศาลควรจะบังคับให้ผู้รับผิดจ่ายให้ฝ่ายผู้เสียหาย เพราะเท่าที่ปรากฏคนที่จ่ายก็ภาวนาสาธุการให้จ่ายต่ำสุดไม่จ่ายเลยยิ่งดี ส่วนอีกฝ่ายก็โอดโอยเสมอมาว่า ได้น้อยกว่าที่ควร ทั้งๆ ที่เจ็บตายได้รับความเดือดร้อนเสียหายซะไม่มี
กรณีที่เกี่ยวข้องกับคนดังในแวดวงสังคมและตกเป็นข่าวฮือฮา ยิ่งมีการแสดงความเห็นจากคนรอบข้างเรื่อง "เท่าไร" มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเหตุเกิดกับผู้ด้อยโอกาสหรือคนระดับล่างการเรียกร้องก็อ่อนด้อยตามธรรมเนียม ราคาของชีวิตความเจ็บปวดพิการก็ลดน้อยถอยลงโดยมีคำว่า "ฐานานุรูป" มากำกับซะนี่ ใครว่ามนุษย์ทุกวันนี้ไม่มีชนชั้นล่ะท่านผู้ชม
คดีต่อไปนี้น่าสนใจในเมื่อศาลท่านตัดสินเรื่องค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บเห็นแล้วอึ้งก็แล้วกันสำหรับผู้ขับขี่รถราทั้งหลาย
รถที่ก่อเหตุรายนี้ถือว่าเป็น "ขาประจำ" ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมืองเรื่องที่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบในบ้านเราขืนปล่อยตามอำเภอใจได้พังกันทั้งบาง ขาประจำที่ว่าคือรถเมล์ในเมืองกรุง หรือ ขสมก. นั่นเอง ผู้โดยสารยังลงจากรถไม่เสร็จ โชเฟอร์ทะลึ่งออกรถซะก่อน ผลคือ "ดช. อนาคตรุ่ง" กำลังก้าวลงจากประตูเสียหลักพลัดตกลงมาที่พื้นถนน ใครจะตะโกนบอกไอ้คนขับไม่ฟังเสียง ผลคือ ล้อหลังทับบริเวณสะโพกและขาซ้าย
ดช. อนาคตรุ่ง บาดเจ็บสาหัสรุนแรงเครื่องในบางส่วนเสียหายหมอรักษาผ่าตัดสุดความสามารถ รอดมาได้ แต่พิการตลอดชีวิต ต้องเยียวยาตลอดชีวิต
รูปการอย่างนี้มักตกลงเรื่องค่าเสียหายไม่สำเร็จ เรื่องถึงศาลตามคุณระเบียบ พ่อแม่เด็กทำหน้าที่ฟ้องแทนลูกด้วยการฟ้องแบบอนาถา เนื่องจากไม่มีเงินพอจ่ายค่าธรรมเนียมศาลตั้ง 2 แสนบาทเศษ บังคับให้คนขับและองค์การขนส่งมวลชนรับผิดชอบ จ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายรวม 11 ล้าน 7 แสนบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งนับแต่วันเกิดเหตุ (4 มิถุนายน 2541)
โชเฟอร์ซึ่งชื่อ นายเห่ย กระมัง ขาดนัดยื่นคำให้การไม่สู้คดี หลังจากโดนอัยการฟ้องเป็นคดีอาญา ศาลลงโทษไปแล้วข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส
จำเลยที่ 2 คือ ขสมก. สู้คดีด้วยความชำนาญแบบมืออาชีพ ให้การปัดความรับผิดอ้างว่าโชเฟอร์ของตนไม่ได้ประมาท เด็กนั่นแหละประมาทลงจากรถโดยไม่ระมัดระวังค่าเสียหายเรียกมาสุดเวอร์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมาแรง พิจารณาแล้วตัดสินให้จำเลยร่วมกันจ่ายเงินแก่โจทก์ 9 ล้านเกือบ 7แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย และบังคับให้จ่ายค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายใช้แทนค่อนข้างสูงถึง 8 หมื่นบาท คนทราบคำตัดสินของศาลออกมายังงี้ฮือฮาไปตามๆ กัน
ผู้ที่ดิ้นรนตามถนัดคือจำเลยที่ 2 ขสมก. ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ให้จำเลยรับผิดเช่นเดิมไม่ยกฟ้อง แต่ลดภาระลงนิดหน่อยเหลือ 8 ล้าน 6 แสนบาทเศษ นอกนั้นให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ ถือว่าศาลอุทธรณ์มือหนักไม่แพ้ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 อยู่ไม่ได้ ดิ้นอีกเฮือกด้วยความมั่นใจว่าถ้าจะจ่ายศาลคงให้จ่ายน้อยลงอีกแยะ คดีอื่นๆ เป็นตัวอย่างถมเถไป จึงยื่นฎีกาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ขณะที่พ่อแม่เด็กอยากได้เท่าที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ยื่นฎีกาเหมือนกัน
ศาลฎีกาดูสำนวนคดีนี้แล้ว ชี้ออกมาแบบขาดจริงๆ และน่าสนใจดังนี้
คดีเป็นยุติคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ดช. อนาคตรุ่ง เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้ง 2ขณะเกิดเหตุ ดช. อนาคตรุ่ง อายุ 6 ปีเศษ และฟังได้ว่าโชเฟอร์รถประจำทางขับโดยประมาทคดีอาญาที่อัยการฟ้องศาลตัดสินเอาผิดถึงที่สุดเพราะรับสารภาพ ติดตะราง 6 เดือนมัดตัวแง่นี้จึงดิ้นไม่หลุด รถประมาท
สิ่งที่ศาลฎีกาต้องฟันธงต่อไปคือ ขสมก. ต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาลตามที่ศาลอุทธรณ์ชี้ไว้หรือไม่ ในเมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่า พ่อแม่เด็กจ่ายให้โรงพยาบาลไปแค่ 607,690 บาท เรียกเกินกว่านั้นไม่ได้ ศาลฎีกาแจงละเอียดยิบน่าสนใจว่า
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 444 ถึง 446 ให้ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องได้ เป็นต้นว่า ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งค่าเสียหายอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ โชเฟอร์ และขสมก. ผู้เป็นนายจ้างร่วมรับผิด เมื่อได้ความชัดจากหมอว่าเด็กบาดเจ็บกระดูกสะโพกหัก กระเพาะปัสสาวะฉีกขาด ทวารหนักฉีกขาด เส้นประสาทขาซ้าย
ได้รับอันตราย ไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติไม่สามารถเดินได้ เด็กเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 ครั้ง พ่อแม่เขาเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่ารักษาตัวที่โรง พยาบาลทั้งสิ้น 778,970.50 บาท ตามใบสรุปรายงานการค่ารักษาพยาบาล พิจารณาจากรายงานผลการตรวจ
ชันสูตรบาดแผลและใบรับรองแพทย์แล้ว ศาลเห็นว่าเด็กจำเป็นต้องผ่าตัดและเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บ มีใบเสร็จรับเงินตั้ง 110 ฉบับ บางส่วนเป็นใบเสร็จรับเงินค่าอุปกรณ์การแพทย์ที่ออกโดยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและร้านค้าของเอกชนซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้างว่าสูงเกินเหตุไม่ตรงต่อความเป็นจริงหรือยังมิได้ชำระจึงต้องรับฟังตามพยานเอกสารว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลที่เป็นจริงและเหมาะสมจำเลยต้องร่วมกันรับผิดใช้คืนค่ารักษาพยาบาลตามนั้น
ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า ค่าอุปกรณ์ช่วยเดิน ค่าอุปกรณ์ผ่าตัดท่อปัสสาวะ และค่าทำกายภาพบำบัดที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ทั้ง 2 สูงเกินไป และไม่ควรกำหนดเกิน 5 ปี นั้น เห็นว่า แพทย์ผู้ตรวจรักษาระบุอาการในใบความเห็นแพทย์ว่าได้รับบาดเจ็บที่ขาข้างซ้าย
ทำให้ไม่สามารถงอหรือเหยียดเข่าได้ เป็นผลให้การยืนหรือการเดินผิดปกติ ต้องรักษาโดยการใช้เครื่องมือช่วยพยุงข้อเข่าแบบปรับมุมองศาได้เพื่อช่วยในการยืนและเดินโจทก์ยังมีแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลเด็กเบิกความยันว่า เส้นประสาทขาซ้ายของเด็ก
ได้รับอันตรายทำให้พิการเดินไม่ได้ตลอดชีวิต การแพทย์ช่วยได้แต่เพียงการทำกายภาพบำบัดกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเพื่อมิให้กล้ามเนื้อขาลีบ นอกจากนี้เด็กไม่สามารถขับถ่ายได้เอง ต้องใช้สายยางช่วยในการขับถ่าย จึงเชื่อได้ว่าเด็กต้องทุพพลภาพเดินและขับถ่ายเองไม่ได้ตามปกติไปตลอดชีวิตซึ่งจำเลยมิได้สืบโต้แย้งความเห็นแพทย์เป็นอื่น ฟังได้ว่าเด็กออกจากโรงพยาบาลแล้วยังต้องได้
รับการรักษาโดยทางกายภาพบำบัด ต้องมาเปลี่ยนสายยางท่อปัสสาวะที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆตามที่แพทย์กำหนด เท่ากับว่าโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตลอดชีวิตของเด็ก การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจนกระทั่งเด็กจะบรรลุนิติภาวะรวมเวลา 13 ปี ตามที่โจทก์ 2 เรียกร้องนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 แล้ว ราคาที่เหมาะสมแล้ว
ที่ต้องชี้ต่อไปคือ การกำหนดค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าจ้างพยาบาลเฝ้าไข้ค่าพาหนะที่โจทก์พาเด็กมารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เหมาะสมเป็นธรรมแก่คู่ความหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าแม้โจทก์ไม่มีใบเสร็จมาแสดง ไม่มีรายละเอียดว่าได้จ่ายค่าจ้างและค่าพาหนะไปเท่าใด แต่การที่เด็กได้รับบาดเจ็บกระ ดูกสะโพกหักกระเพาะปัสสาวะและทวารหนักฉีกขาด เส้นประสาทที่ขาซ้ายได้รับอันตรายจนไม่สามารถเดินได้แพทย์ต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดหลายครั้ง ผู้ป่วยต้องทำกายภาพบำบัดทั้งขณะอยู่ที่โรงพยาบาลและออกจากโรงพยาบาลแล้ว อันมีความจำเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อได้ว่า โจทก์ต้องจ้างพยาบาลพิเศษคอยช่วยเหลือดูแลเด็กขณะพักรักษาตัว ต้องว่าจ้างพาหนะรับส่งไปและกลับจากโรงพยาบาล เมื่อแพทย์นัดทำการผ่าตัดเปลี่ยนท่อสายยางปัสสาวะและทำกายภาพบำบัดที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าจ้างพยาบาลขณะที่เด็กพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 89 วัน คิดคำนวณเทียบเคียงใบเสร็จรับเงิน ในอัตราร้อยละ 350 บาท ตามที่คู่ความไม่โต้แย้งเป็นจำนวนเงิน 31,150 บาท และกำหนดค่าพาหนะอัตราเดียวกับค่าจ้างพยาบาลเป็นเวลา
235 วัน รวมเป็นเงิน 82,250 บาท จึงพอสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไป ต้องรับผิดค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงินตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์หรือไม่ ศาลสูง เห็นว่า การที่เด็กต้องเป็นคนพิการ ไม่สามารถเดินและขับถ่ายได้ตามปกติ ถือได้ว่าเด็กต้องสูญเสียความสามารถประกอบการงานในภายหน้า และทำลายความก้าวหน้าของเด็กตลอดชีวิต โดยความเสียหายที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ก็คือ ความเสียหายที่ไม่สามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบัน และในอนาคต เมื่อผลแห่งการละเมิดของโชเฟอร์ทำให้เด็กต้องทุพพลภาพไปตลอดชีวิตโจทก์ทั้ง 2 จึงเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานได้ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 444 วรรคหนึ่ง และความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นนี้ยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายอันเป็นที่มาของความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัสที่บังเกิดขึ้นกับเด็กขณะที่มีอายุเพียง 6 ปีเท่านั้น พ่อแม่ที่เป็นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงินได้ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 446 ด้วย ค่าเสียหายดังกล่าวไม่ซ้ำซ้อนกันและไม่เป็นค่าเสียหายอย่างเดียวกัน ซึ่งค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ชดใช้ทั้งสิ้น 6,900,000 บาท นับเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้ง 2 และจำเลยที่ 2 ข้อสุดท้ายว่ าค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดควรจะเท่าใดนั้น เห็นว่าอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายวิ. แพ่งกำหนดให้ศาลพิจารณาตามความยากง่ายแห่งคดีกับเทียบดูเวลาและงานที่ทนายความ
ต้องปฏิบัติในการว่าคดีเรื่องนั้น ตามอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงแห่งทุนทรัพย์ดังที่ระบุไว้ทุนทรัพย์คดีนี้ 12 ล้านบาทเศษ จำเลยที่ 2 ต่อสู้ทุกประเด็น ระยะเวลานับแต่วันที่โจทก์ยื่นฟ้องจนศาลชั้นต้นตัดสินรวม 1 ปีเศษ นับได้ว่าทนายความโจทก์ทั้ง 2 ต้องปฏิบัติงานนานใช้เวลามิใช่น้อย ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความ 800,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราขั้นสูงตามที่กฎหมายกำหนด เหมาะสมแล้ว โจทก์ขอเพิ่มไม่ได้จำเลยที่ 2 ขอลดไม่ได้
หลงจ้งแล้วศาลฎีกาพิพากษายืนตามที่ศาลอุทธรณ์ด่านที่ 2 ว่าไว้
หนาวไหมครับสำหรับคำตัดสินคดีนี้ สำหรับคนที่ขับรถอยู่บนถนนทั้งหลายยังดีที่จำเลยที่ 2 เป็นองค์กรที่พอจะจ่ายได้ หากเป็นเราๆ ท่านๆ คิดดูว่าคางเหลืองไหม
เพราะงั้นเวลานั่งหลังพวงมาลัยจำคดีนี้ไว้ด้วย จะได้ยับยั้งชั่งใจได้ ไม่โดนศาลตัดสินให้จ่ายเงินชนิดจำบ้านเลขที่จำชื่อตัวเองไม่ได้ก็แล้วกัน
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่6303/2547
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52772