รู้ลึกเรื่องรถ
แกสธรรมชาติ
ช่วงเวลาที่พวกเราชาวไทย มีชีวิตแบบค่อนข้างสบาย น่าจะหมดไปแล้ว และมันคงจะไม่หวนกลับมาอีกง่ายๆ แน่นอน เพราะคู่แข่งมีอยู่มากมายบนโลกนี้ ในยุค "ใครดี ใครอยู่" ราคาน้ำมันดิบไม่ได้สูงขึ้นเพราะประเทศที่ผลิตขึ้นราคา หรือพ่อค้าคนกลางกักตุนไว้แต่เพียงอย่างเดียวนะครับ ความต้องการใช้พลังงานของประชากรโลก ที่พุ่งสูงขึ้นจากการเปลี่ยนมาตรฐานการดำรงชีพในประเทศกำลังพัฒนา ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญ
ประชากรจีนหลายร้อยล้านคน ที่เคยใช้จักรยานและจักรยานยนต์ ก็กำลังเปลี่ยนมาขับรถยนต์แทนเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงจากน้ำมันแร่ใต้ดิน จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ ที่ยังไม่ถึงกับต้องใช้ตัวเชื้อเพลิง แค่ชื่อของมันและโอกาสที่จะนำมาใช้ ก็สามารถเอามาทำประโยชน์ได้แล้ว ใช้หาเสียง ใช้สร้างภาพ หาตำแหน่ง หาผลประโยชน์ล่วงหน้า ฯลฯ เพราะวิธีใช้ รวมทั้งคุณและโทษ ปัญหาการผลิต การกักเก็บ การจำหน่าย ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องซับซ้อนทางเทคนิค ที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ พวกเราก็เลยต้องรับมือกับชื่อแปลกๆ ทั้งทางหูและทางตาจนงงไปหมด ตั้งแต่ แกสโซฮอล ดีโซฮอล ไบโอดีเซลแอลพีจี ซีเอนจี เอนจีวี ฟิวเอลเซลล์ ไบโอแมส ซินฟิวเอล (SYNFUEL) ซันฟิวเอล (SUNFUEL) ไฮบริด ฯลฯ มึนหรือยังครับ ?
บางอย่างเป็นเรื่องของประเทศร่ำรวยพัฒนาแล้ว เราไม่มีปัญญาไปเอาอย่างเขาหรอกครับ พวกเขาเองยังหาวิธีหาคำตอบที่แท้จริง ในการนำมาใช้ไม่ได้ และประเทศอย่างเราจะทำอะไรได้ บางอย่างก็เป็น "ของจริง" ผลิตเองใช้เองได้ เช่น แกสโซฮอล ที่ผสมเอธิลแอลกอฮอล์ 10 % พอจะถูไถอนุโลมว่า ไม่น่าจะมีผลเสียต่อเครื่องยนต์ แต่กลุ่มนักการเมืองละโมบ ก็ยังหาทางบังคับให้ผสมหลายสิบเปอร์เซนต์ให้ได้ แล้วจะให้เลิกขายเบนซินล้วน ถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ระบบประชาธิปไตยจริง รับรองว่าถูกประชาชนฟ้องร้องแน่นอนครับ ถ้าจะให้ประชาชนมั่นใจกว่านี้ ก็แค่ผสมให้น้อยลงเท่านั้นเอง เช่น 3 % ถึง 5 % ลดสัดส่วนแอลกอฮอล์ลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ปริมาณที่ขายได้อาจเพิ่มขึ้นหลายเท่าก็ได้
ที่จริงไม่ได้ต้องการเขียนถึงแกสโซฮอลนะครับ แกสธรรมชาติก็เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกชนิดหนึ่ง คำ ว่าเชื้อเพลิงทางเลือก หรือ ALTERNATIVE FUEL มีหลายความหมายด้วยกันครับ ถ้ายึดเชื้อเพลิงที่ได้มาจากน้ำมันแร่หรือน้ำมันดิบใต้ดินเป็นหลัก เชื้อเพลิงทางเลือกก็ต้องเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ผลิตผลจากน้ำมันแร่ ตัวอย่างเช่น เอธิลแอลกอฮอล์ที่ได้จากพืช หรือถ่านหินก็เข้าข่ายครับ
ถ้ายึดเชื้อเพลิงที่อยู่ใต้ดินเป็นหลัก และใช้แล้วมีโอกาสหมดแล้วหมดเลย เกิดใหม่ไม่ทัน อย่างนี้ถ่านหินก็ไม่เข้าข่าย แต่เอธิลแอลกอฮอล์ยังใช่ เพราะฉะนั้นในกรณีแรก แกสธรรมชาติก็เข้าข่ายเชื้อเพลิงทางเลือก แต่ในกรณีหลังจะไม่ใช่ เพราะได้มาจากใต้ดินและมีจำนวนจำกัดเช่นเดียวกับน้ำมันแร่หรือน้ำมันดิบ หรือถ้ายึดน้ำมันเบนซินและดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงเหลว และพวกเราใช้กับรถของเราประจำเป็นหลัก แกสธรรมชาติก็เข้าข่ายเชื้อเพลิงทางเลือกได้เหมือนกัน มองในมุมกว้างแบบครอบคลุมทั่วโลก ก็ยังเหลือปริมาณสำรองอยู่อีกมาก มากกว่าน้ำมันดิบเสียอีก และถ้ามองให้แคบลงมาอีก มันคือเชื้อเพลิงที่ประเทศเรามีอยู่เองครับ ไม่ต้องซื้อจากต่างชาติ หรือถ้าจะมองการณ์ไกล แบบเก็บของเราไว้ส่วนหนึ่ง เป็นปริมาณสำรองในอนาคต แล้วชดเชยส่วนที่ขาด โดยการซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่นพม่า ก็ยังถูกกว่าน้ำมันดิบมาก
การนำแกสธรรมชาติมาใช้กับยานพาหนะไม่ง่ายเหมือนแกสหุงต้ม หรือ LPG เพราะหากต้องการบรรจุแกสธรรมชาติในถังโดยให้อยู่ในสถานะของเหลว เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ จะต้องทำให้มีอุณหภูมิต่ำถึงลบ 160 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดันราวๆ 200 กิโลปาสกาล ต้องใช้ถังบรรจุที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นดี และยังต้องเสียพลังงานในการทำความเย็นระดับนี้อย่างต่อเนื่อง ในทางปฏิบัติจึงเหลือวิธีเดียว ที่ไม่สิ้นเปลืองเกินไป นั่นคือเก็บในสถานะแกส ซึ่งถ้าต้องการปริมาณมากในเนื้อที่น้อย ก็ต้องอัดให้แกสอยู่ภายใต้ความดันสูง คือประมาณ 20 เมกะปาสกาล ถังบรรจุแกสธรรมชาติในรถที่ใช้ จึงต้องมีความหนาเพียงพอ น้ำหนักที่เป็นปัญหาแก่รถ คือน้ำหนักของถังเหล็กครับ ส่วนแกสธรรมชาติหนักราวยี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น
นี่คือที่มาของคำว่า COMPRESSED NATURAL GAS หรือ CNG ที่เราเห็นด้านท้ายของรถแทกซีบางคันใน กทม. และที่รถคันเดียวกันก็จะมีอักษรย่อ NGV บนสติคเกอร์อีกแผ่น ซึ่งหมายถึงรถที่ใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หรือ NATURAL GAS VEHICLE นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในการซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศ และช่วยผู้ใช้รถประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มากมาย ดังตัวเลขค่าความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ได้จากการทดสอบในต่างประเทศ และผมนำมาให้เปรียบเทียบกันชัดๆในคอลัมน์รอบรู้เรื่องรถ
ของฉบับนี้แล้ว แกสธรรมชาติที่ผ่านการเผาไหม้ในเครื่องยนต์แล้วกลายเป็นไอเสีย ยังมีปริมาณสารพิษน้อยกว่าเบนซินหรือดีเซลมากอีกด้วย น้ำมันหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่อง ของเครื่องยนต์ที่ใช้แกสธรรมชาติ จะไม่ถูกเจือปนด้วยเบนซินที่ระเหยไม่ทัน และเกาะผนังกระบอกสูบอยู่ตอนที่เครื่องยนต์ยังเย็นไม่ต้องละลายเขม่าและโอบอุ้มไว้ ใครที่ใช้แกสเป็นเชื้อเพลิง ไม่ว่าแกสธรรมชาติ หรือ แอลพีจี ที่แทกซีในกทม. เกือบทั้งหมดใช้อยู่ จึงสามารถเพิ่มระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องขึ้นอีก 50 % ถึง 100 % ได้อย่างสบาย ปัญหาจึงอยู่ที่การสนับสนุนจากรัฐบาล ในการจัดหาอุปกรณ์ดัดแปลงเพื่อใช้แกสธรรมชาติ ในราคาที่ผู้ใช้สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิง จนถึงจุดคุ้มทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น และให้ความสะดวกโดยการขยายเครือข่ายสถานีเติมแกสแก่ประชาชน ให้หนาแน่นเพียงพอ อย่างน้อยที่สุดก็ในเมืองหลวงและจังหวัดที่มีจำนวนรถมากพอ
อีกข้อที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง คือการประชาสัมพันธ์ที่ต้องกระจายอย่างทั่วถึง ให้ประชาชนรู้ว่า แกสธรรมชาติ และ LPG นั้นต่างกันอย่างไรโดยเฉพาะการบรรจุและการกักเก็บ แกสธรรมชาติอัดความดันสูง หรือ CNG นี้มีความดันในถังบรรจุ สูงราวๆ 100 เท่าของความดันในถังบรรจุ LPG ห้ามนำถังบรรจุ แอลพีจี มาดัดแปลงหัวรับแกส (ซึ่งถูกออกแบบให้แตกต่างกันอยู่แล้วเพื่อความปลอดภัย) แล้วนำไปใช้บรรจุ ซีเอนจี หรือแกสธรรมชาติเด็ดขาด เพราะถังจะทนความดันไม่ได้ และระเบิดแน่นอนครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52756