ร่มไม้ชายศาล
ยักยอกรถ
จากหนังสือ "100 แบรนด์ล้มดัง" หรือ "BRAND FAILURES" ของ "MATT HAIG" ซึ่งแปลโดยนักแปลไทยกิตติมศักดิ์หลายท่าน มีบทที่ว่าด้วย "ความผิดพลาดในเชิงวัฒนธรรม" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชื่อหรือคำบรรยายสรรพคุณสินค้าแบรนด์ต่างๆ แล้วไม่สอดคล้องกับภาษาท้องถิ่นของประเทศอื่น มีตัวอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ล้วนๆ ชวนให้ขำกลิ้ง ผมจึงขอคัดลอกมานำเสนอแฟนๆตรงนี้ซะหน่อย
ยักษ์ใหญ่อย่าง เจเนอรัล มอเตอร์ส งงงวยเมื่อชาวละตินอเมริกันพากันหัวเราะใส่รถยนต์รุ่นเ ชฟวี โนวา (CHEVY NOVA) ต่อมาจึงหายงงเมื่อเขาชี้บอกว่า "โนวา" ภาษาสเปนแปลว่า "การไม่แล่น"
รถยนต์อเนกประสงค์ มิตซูบิชิ รุ่น "ปาเจโร" (PAJERO) ก็หน้าแตกในสเปนอีกเช่นกัน เพราะคำว่า "ปาเจโร" หมายถึง "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง"
รถยนต์ โตโยตา รุ่น "ฟิเอรา" (FIERA) นั้นแปลว่า "หญิงแก่ที่น่าเกลียด" ในภาษาเปอโตริโก
ส่วนชาวเยอรมันน้อยคนอยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์ โรลล์ส-รอยศ์ เพราะมันหมายถึง "สัตว์สีเงินที่ถูกทิ้ง" ขณะที่ภาษาอังกฤษแปลว่า "หมอกสีเงิน"
ชาวบราซิลก็ไม่ต้อนรับรถยนต์ ฟอร์ด รุ่น "พินโท" (PINTO) ซึ่งหมายความถึง "เจ้าโลกอันเล็ก" ฮา ฮา ฮา
เรียกน้ำย่อยด้วยของแถมแล้ว มาว่ากันถึงมวยหลักคือคดีความซะที
คดีนี้เป็นเรื่องที่เจ้าของรถยนต์หลายรายเจอมาแล้ว เมื่อเราส่งมอบรถยนต์ให้เขาใช้สอย โดยไม่ใช่การเช่าหรือมีค่าตอบแทน ให้ไปใช้งานชั่วครั้งคราว แล้วทะลึ่งเอาไปเลย ไม่ยอมส่งคืนตามทวงตามหาก็หลบซะงั้นแหละ กว่าจะเอาคืนได้เหงื่อตกงานนี้เป็นการยักยอกทรัพย์เรามาดูสิว่าศาลเอาโทษยังไงแค่ไหน
"นายศักดิ์ศรี" คือคนที่ทะลึ่งเมื่อ "นายดีใจ" มอบรถให้ไปทำธุระที่ตลาด นายดีใจนั่งรอยืนรอเพราะต้องการใช้รถเช่นกัน แต่ นายศักดิ์ศรี หายเงียบไปเลย
หะแรก นายดีใจ นั้นตกใจ เกรงว่า นายศักดิ์ศรี พารถไปเกิดอุบัติเหตุรถราพังคนบาดเจ็บ พยายามสดับตรับฟังข่าว ถามใครต่อใครว่ารู้เรื่องไหมบ้างไหม เดือดร้อนอยู่นานครัน
เมื่อไม่ได้ข่าวว่า นายศักดิ์ศรี พารถไปเกิดเหตุที่ไหนก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แล้วเฝ้ารอให้เขาเอารถมาส่งจนแล้วจนรอดข้ามวันข้ามคืนปรากฏว่าหายต๋อมไปเลย หลังจากสอบถามไปทางญาติของ นายศักดิ์ศรีจึงทราบว่าไอ้หมอนี่เอารถไปใช้ต่างจังหวัด ไม่สนใจที่จะส่งคืนให้ นายดีใจ แม้แต่น้อย ใครถามก็บอกว่าซื้อไว้แล้ว ว่าไปโน่น
นายดีใจ นั้นเสียเวลาเสียหัวในการติดตามรถคืนอยู่นานวัน เพราะ นายศักดิ์ศรี พารถหลบเลี่ยงไม่ยอมให้เจอ ในที่สุดต้องพึ่งตำรวจ ขึ้นโรงพักแจ้งความ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า เอาผิดข้อหายักยอกทรัพย์ได้สบาย ไม่ต้องกลัว จะไปลากคอมาให้ คดีแบบนี้ตำรวจบ่หยั่น คนร้ายไม่ชักปืนยิงสวนมาแน่ๆ โปลิศแสดงความมั่นใจขนาดนั้น
ในที่สุด นายศักดิ์ศรี โดนรวบพร้อมรถยนต์ของ นายดีใจ ซึ่งภาษากฎหมายเรียกรถยนต์ในคดีว่า "ของกลาง" เมื่อ นายดีใจ พิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ นายศักดิ์ศรี ไม่มีข้อคัดง้างอื่น นายดีใจ จึงได้รถคืนหลังจากติดตามอยู่เป็นเดือน แต่เจ้าตัวยังแค้นใจไม่หาย อีกอย่าง นายศักดิ์ศรี ไม่ยอมจ่ายสตางค์แม้แต่บาทเดียว นายดีใจ จึงเดินหน้าเอาความ
นายศักดิ์ศรี ส่งคนมาทาบทามเหมือนกันให้ นายดีใจ ถอนคำร้องทุกข์ เพราะเป็นคดียอมความได้แต่ไม่สำเร็จ จึงโดนอัยการฟ้องไปที่ศาลข้อหายักยอกรถยนต์
การฟ้องครั้งนี้ถือว่าเป็นคดีเล็กๆ ระดับศาลแขวง อัยการจึงนำตัวไปฟ้องแบบง่ายๆ คือฟ้องด้วยวาจาศาลเป็นผู้จดบันทึกคำฟ้องสั้นๆ ให้อัยการโจทก์และจำเลยเซ็น โดยจำเลยคือ นายศักดิ์ศรี ให้การรับสารภาพ เพราะมั่นใจว่าศาลไม่เล่นงานหนัก แค่รออาญาเท่านั้นแหละ แต่ผิดคาด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า นายศักดิ์ศรี หมดศักดิ์ศรี มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 3 ปีรับลดกึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน
นายศักดิ์ศรี หน้าเหลืองเป็นขมิ้น คิดไม่ถึงว่าจะต้องติดตะราง จึงดิ้นรนให้ทนายยื่นอุทธรณ์ เน้นเรื่องขอให้รอลงอาญาเป็นหลัก
ปรากฏว่าได้ผลระดับหนึ่ง (ภาษาราชการยุคนี้ชอบใช้จัง) ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุก 2 ปี รับลดกึ่งเหลือ 1 ปี แต่ไม่รอลงอาญาอยู่ดี
จำเลยคือ นายศักดิ์ศรี หน้าเหลืองหนักกว่าเก่า เพราะชักจะจนตรอกเข้าไปทุกที ต้องแก้เกมด้วยการยื่นฎีกาทนายแคะคุ้ยหาข้อกฎหมายชนิดค่อนข้างมั่วขึ้นอ้าง โต้แย้งว่าคำฟ้องของอัยการโจทก์ไม่ถูกต้องเพราะไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียน ผู้พิมพ์ฟ้อง ต้องยกฟ้อง ให้ นายศักดิ์ศรี ลอยนวล ถ้าจะเอาโทษก็ขอได้โปรดรอลงอาญา เพราะเคยทำคุณความดีมาเยอะ รับสารภาพตลอดรายการ มีภาระเลี้ยงดูครอบครัวน่าสงสารมาก
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้สองตลบแล้วตัดสินใจชี้ขาดออกมาว่า
กฎหมายให้ฟ้องคดีข้อหายักยอกทรัพย์ต่อศาลแขวงด้วยวาจาได้อยู่แล้ว ศาลท่านจดคำฟ้องโจทก์และคำ ให้การของจำเลยไว้ ให้คู่กรณีเซ็นชื่อ ถือว่าครบครันและชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องมาหัวหมอทำเซ่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาโต้หรอก นายศักดิ์ศรี เอ๋ย (ข้อนี้ผมว่าเอง) อีกอย่าง นายศักดิ์ศรี เองไม่ได้โต้แย้งเรื่องนี้มาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับฟัง
ส่วนการขอรอลงอาญานั้น แค่ นายศักดิ์ศรี เคยทำคุณความดีมาก่อน มีภาระเลี้ยงดูครอบครัวยังไม่พอเพียงให้รอลงอาญา เพราะพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น นายศักดิ์ศรี เบียดบังรถที่นายดีใจมอบให้ใช้งานเป็นของตนโดยทุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ผิดปกติวิสัยของสุจริตชน
ทะลึ่งคือ เกิดเหตุแล้วไม่ยักบรรเทาความเสียหาย ไม่ยอมชดใช้เงินให้นายดีใจแม้แต่แดงเดียว มันต้องเอาเข้าคุก จะได้เข็ด รอลงอาญาไม่ได้หรอก
ว่าแล้วศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
ถูกต้องแล้วครับที่ศาลท่านตัดสินลงโทษ นายศักดิ์ศรี อย่างคดีนี้ เพราะมีคนอีกไม่น้อยจิตใจชั่วเอ๊ยแย่มากๆ ยึดรถของคนอื่นไปใช้ดื้อๆ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รับผิดชอบความเป็นเจ้าของของเขา เคยเจอคนที่เขาโดนมาแล้ว ไอ้หมอหนึ่งเอารถไปใช้เป็นแรมเดือนที่จังหวัดอื่น เจ้าของเสียเงินเสียเวลาติดตามคืนจนหน้ามืดกว่าจะได้ มา
ลงท้ายไอ้คนๆ นั้นไม่ยอมชดใช้อะไรให้สักอีแปะ ถ้าคิดเป็นค่าเช่าค่าสึกหรอเป็นเงินหลายหมื่นบาทแถมเจ้า หน้าที่ตำรวจในท้องที่ยังบอกว่าอย่าเอาเรื่องมันเลย พูดให้ท้อใจ ไม่มีใครเป็นพยานให้หรอกยังงี้ก็มี
ครับนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนเหล่านี้มีจิตใจที่ทำด้วยสิ่งโสโครกอะไร จึงขาดความรับผิดชอบขนาดนั้น
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3469/2547
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52624