ร่มไม้ชายศาล
ลีซิงรถ
เท่าที่สังเกตดูไม่รู้เหมือนกันว่าการทำมาหากินในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าเอเชีย ยุโรป หรือฝั่งสหรัฐอเมริกาฝืดเคืองหรืออย่างไรไม่ทราบ บริษัทรถต่างชาติซึ่งรวมทั้งฝรั่งมังค่า ดาหน้าเข้ามาหากินที่บ้านเราอย่างเอาเป็นเอาตาย หาทางขายรถให้คนไทยตาดำๆ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นคือ กำรี้กำไรคงไม่เลวหรอกกระมัง ทั้งๆ ที่คนไทยพากันซี๊ดปาก บอกว่าเดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยถูกเป็นบ้า บางยี่ห้อผ่อนจนเหนียงยานไม่ต้องจ่ายดอกอีกต่างหาก
แสดงว่าการขายรถเขามีอะไรหมกเม็ดไว้ ซ่อนกำไรเอาไว้จมกระเบื้อง ไม่กระโตกกระตากให้ไก่คือคนไทยตื่น ให้พวกเราหลงระเริงคิดว่าโอกาสทอง ต้องหาทางเป็นหนี้ซื้อรถให้จงได้ รถถูกมาก ผ่อนสบายมาก ในยามนี้รถจึงขายกันระเบิดเถิดเทิง
แหล่งข่าวบอกว่าแท้ที่จริง ราคารถที่เสนอขายได้บวกกำไรไว้จนคุ้ม แบ่งให้เอเยนต์อีกด้วย ขายโดยไม่คิดดอกเบี้ยอย่างที่บางเจ้ากำลังทำได้สบาย ถ้าบริษัทรถจัดไฟแนนศ์เอง หากินแบบครบวงจรเก็บดอกเบี้ยได้ ยิ่งแฮพพีหนักเข้าไปอีก
ขณะเดียวกันต่างชาติที่เข้ามาปล่อยสินเชื่อก็รู้สึกว่าเมืองไทยหอมหวานเช่นกัน ไม่หากินยากอย่างบ้านเขา เพราะพี่ไทยใจสู้ กินข้าวคลุกเกลือเพื่อผ่อนรถก็ยอม ด้วยเหตุนี้เอง เอเยนต์ขายรถจึงได้ค่าคอมจากบริษัทไฟแนนศ์สำหรับรถทุกคันที่มีการผ่อนส่ง ไม่น้อยเลยล่ะทูนหัว เขาถึงกระดี้กระด้าขายรถอย่างเพลิดเพลิน
เอาเถอะครับ โอกาสทองของใครไม่รู้ พวกเราก็เวียนว่ายอยู่กับรถอยู่กับการเป็นหนี้ต่อไป ทุกอย่างย่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป นะท่านนะ พระท่านสอนไว้
มาว่ากันด้วยเรื่องของคดีความซะที เป็นเรื่องของการเช่ารถมาใช้งาน แต่ดูคล้ายๆ กับการเช่าซื้อ งานนี้มีข้อพิพาทกันแล้วคนนอกอย่างเราๆ ท่านๆ ทราบไว้น่าจะเป็นประโยชน์
แรกเริ่มเดิมที "บริษัท ถนัดลิสซิ่ง จำกัด" นำรถยนต์คันหนึ่ง บริษัทระบุว่ามีราคาราว 8 แสนบาท มาให้ "หจก.รวยแล้วเท่" ทำสัญญาชนิดที่เรียกให้เท่ว่าลีซิง แทนที่จะเรียกเป็นภาษาไทยว่าเช่า โดยมี ผู้จัดการ เมียผู้จัดการ หจก.รวยแล้วเท่ ค้ำประกัน
ยังไงไม่รู้ ได้รถไปใช้แล้วไม่จ่ายค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลง บริษัทถนัดลิสซิ่ง ปวดหัว ต้องให้พนักงานตามรถคืน เห็นรถแล้วเถ้าแก่บริษัทส่ายหัวเป็นดาราหนังแขก เพราะรถช้ำชอกน่าดู เมื่อซ่อมแซมพอประมาณแล้วจึงขายให้คนอื่น ได้เงินมาเกือบ 3 แสนบาท ต่อจากบริษัทเจ้าของรถจึงยื่นฟ้อง หจก.รวยแล้วเท่ ผู้จัดการ และเมียผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1, 2, 3 ให้ร่วมกันรับผิดจ่ายราคาค่ารถที่ขาดไปเฉียด 3 แสน กับค่าขาดประโยชน์ในระหว่างที่จำเลยเอารถไปใช้โดยไม่จ่ายค่าเช่า 7 เดือน เป็นเงิน 1 แสนบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และ 2 ไม่ทำอะไรทั้งนั้นงานนี้
จำเลยที่ 3 กลัวเป็นหนี้จึงสู้แหลก อ้างสารพัด ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่คู่สัญญา หนังสือมอบอำนาจของบริษัทนั้นปลอม คู่กรณีมุ่งหมายที่จะเช่าซื้อเมื่อสัญญาไม่ปิดอากรแสตมป์จึงนำมาฟ้องและรับฟังไม่ได้ คดีขาดอายุความ โจทก์ได้รับหนี้คุ้มทุนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นส่องดูแล้วเห็นว่า สัญญาที่นำมาฟ้องน่าจะเป็นเรื่องเช่าซื้อ เพราะบอกไว้ด้วยว่าในตอนท้ายให้จำเลยจ่าย 63,000 บาท ก็จะได้รถไป เมื่อสัญญาไม่ปิดอากรจึงนำมาฟ้องไม่ได้ ยกฟ้อง
บริษัทถนัดลิสซิ่ง ถึงกับมึนที่โดนยกฟ้อง จึงยื่นอุทธรณ์เพื่อแก้เกม
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ทั่วไป หนังสือสัญญาไม่ต้องปิดอากรก็นำมาฟ้องได้ แต่เห็นว่าบริษัทได้ผลประโยชน์ไปพอสมควรแล้ว จึงบังคับให้จำเลยร่วมกันจ่ายเงินราว 180,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ยังตั้งป้อมสู้คดี ยื่นฎีกาขึ้นไปในปัญหาข้อกฎหมาย ยกประเด็นเรื่องสัญญาไม่ปิดอากรแสตมป์มาอ้าง ขอให้ยกฟ้องศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้จนได้ที่แล้ว จึงชี้ขาดออกมาว่า
สัญญาที่ทำไว้ ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าคู่สัญญาตกลงซื้อหรือเช่าซื้อรถที่เช่า ไม่ได้ตกลงให้ค่าเช่าที่ชำระถือเป็นส่วนหนึ่งของราคารถ สำหรับข้อตกลงในตอนท้ายให้ผู้เช่ามีสิทธิซื้อรถเมื่อสัญญาลิสซิ่งสิ้นสุดลงแล้ว เป็นเพียงคำมั่นว่าจะขายรถให้ผู้เช่าก่อนหากเสนอซื้อ โดยกำหนดราคาขายไว้ล่วงหน้าหกหมื่นกว่าบาท ถ้าผู้เช่าไม่ใช้สิทธิต้องคืนรถ จึงแตกต่างจากการเช่าซื้ออย่างเห็น ๆ
เมื่อเป็นสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ดังที่จำเลยอ้าง โจทก์นำมาฟ้องได้ ศาลอุทธรณ์ตัดสินถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน
กฎหมายเกี่ยวกับการปิดอากรแสตมป์หรือประมวลรัษฎากรที่ใช้ในบ้านเรา สร้างความปวดหัวให้แก่การทำคดีการฟ้องร้องไม่น้อย สาเหตุคือ การกำหนดให้สัญญานั่นนี่ต้องปิดอากรเท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่ปิดอากร ซึ่งบางกรณีเป็นเงินแค่ 10-20 บาท นำสัญญานั้นๆ มาฟ้องร้องไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายโต้แย้งโดนยกฟ้อง แบบว่าผิดถูกไม่รู้ โกงไม่โกงไม่รู้ โจทก์จำนวนไม่น้อยร้องจ๊ากเป็นลิงโดนกะปิเมื่อแพ้คดีโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริงน่าจะกำหนดวิธีการให้มันง่ายขึ้น เอ็งนำสัญญาที่เขียนเป็นหนังสือมาฟ้องเมื่อไหร่ให้เรียกเก็บภาษีเท่านั้นเท่านี้ เมื่อยอมจ่ายก็ลุยกันได้ในศาล ไม่ต้องเอามาเป็นเงื่อนแง่ชิงไหวชิงพริบอย่างทุกวันนี้
สำหรับเรื่องเช่ารถแบบลีซิง แม้ศาลฎีกาฟันธงในคดีนี้ว่า เป็นสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่ง ไม่ต้องปิดอากรก็จริง แต่ใครนำคดีไปฟ้องที่ศาล จำเลยที่หัวหมอหรืออยากดึงเกมเอาเชียว เอ็งไม่ปิดอากร เล่นซะสามศาล มึนไหมล่ะตัวเอง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2546
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52428