บทความ
รถใต้ดินผลุบๆ โผล่ๆ
รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย ตั้งแต่เปิดดำเนินการมาเมื่อต้นปี 2547 จนบัดนี้ยังไม่ทันจะขวบปีดี มีแต่เรื่องผลุบๆโผล่ๆ ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าที่ควร และนับวันก็จะสร้างศรัทธาในหมู่ผู้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชนที่ไฮเทคทันสมัยเกือบจะที่สุดในโลกของไทยแห่งนี้ให้เสื่อมถอยลงไปทุกที
เริ่มแรกต้องบอกว่าผิดหวังและผิดเป้าหมายจากที่คาดการณ์เอาไว้ค่อนข้างเยอะ
กับเส้นทางของรถไฟฟ้าใต้ดินที่เริ่มจากหัวลำโพงมุดใต้ดินไปตามถนนพระราม 4 เลี้ยวไปตามถนนรัชดาภิเษก วกไปถนนพหลโยธิน ผ่านตลาดนัดจตุจักร ไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟฟ้าบางซื่อระยะทางรวมประมาณ 25 กิโลเมตร กับค่าโดยสารตลอดเส้นทาง 45 บาท
คาดหมายเอาไว้ในเบื้องต้นว่า ผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถส่วนตัวมาใช้รถไฟฟ้าใต้ดินกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีส่วนทำให้ปริมาณรถยนต์บนท้องถนนลดน้อยลงอันจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาการจราจรคับคั่งได้ในระดับหนึ่ง
เอาเข้าจริง จะเป็นเพราะเส้นทางของรถใต้ดินอาจจะยังไม่ค่อยจะเอื้อ หรือสอดคล้องกับเส้นทางการสัญจรไปประกอบธุรกิจของผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว หรืออาจเป็นเพราะยังขาดความสะดวกในการจอดรถยนต์ส่วนตัวเอาไว้ ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีใดสถานีหนึ่ง แล้วใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินต่อไปยังสถานประกอบธุรกิจ เลยเป็นเหตุให้ผู้ที่เคยใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อการเดินทาง ไม่ค่อยจะนิยมใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเท่าไรนัก แต่ยังคงใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อการเดินทางกันเหมือนเดิมอย่างที่เคยใช้ วัตถุประสงค์ของการมีรถไฟฟ้าใต้ดินสายนี้วัตถุประสงค์เพื่อการมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการจราจร เลยกลายเป็นหมันไปโดยปริยาย
กับความหวังที่จะให้ประชาชนโดยทั่วไปที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ และต้องอาศัยใช้บริการรถยนต์สาธารณะในระบบอื่นๆ ได้มาใช้บริการของรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มมากขึ้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการเดินทางก็พลาดเป้าหมายไปเสียอีกอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินทนแบกภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าโดยสารที่ค่อนข้างจะแพงเดินไปไม่ไหว จนต้องหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะในแบบเดิมที่เคยใช้ก่อนมีรถไฟฟ้าใต้ดิน
รถไฟฟ้าใต้ดินในแต่ละเที่ยวในแต่ละขบวนจึงมีผู้โดยสารค่อนข้างจะโหรงเหรงแทบจะทุกวัน มองเห็นวิถีทางของการดำเนินการในแบบขาดทุนในระยะยาวค่อนข้างจะชัดเจน
รัฐพยายามยื่นมือเข้ามากอบกู้แก้ไขสถานการณ์ด้วยการทดลองปรับลดราคาค่าโดยสารให้เหลือเพียง 10 -15 บาทตลอดเส้นทาง ซึ่งก็ทำท่าว่าจะได้ผลกระเตื้องขึ้นมาพอสมควร มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากระดับปกติ เป็นที่น่าพอใจ
แต่ก็มามีเหตุชวนให้เกิดวิกฤติศรัทธาในรถไฟฟ้าใต้ดินขึ้นมาเสียอีก
เกิดเหตุที่ไม่เคยมีใครคาดคิดกันมาก่อนเมื่อตอนต้นเดือนมกราคม ขณะที่รถไฟฟ้าใต้ดินขบวนที่กำลังบริการอยู่ตามปกติมาจอดอยู่ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ก็เกิดมีรถอีกขบวนหนึ่งจากศูนย์ซ่อมบำรุงซึ่งอยู่นอกเส้นทางแต่อยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกันเกิดไหลลงมาชนกับรถขบวนที่มีผู้โดยสารที่จอดอยู่อย่างจัง ผลก็คือมีผู้ได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนกว่า 100 คน เคราะห์ยังดีอยู่บ้างที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายทางด้านทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากรถไฟฟ้าใต้ดินชนกันครั้งนี้ว่ากันว่าเป็นจำนวนอาจถึง 100 ล้านบาท
รถไฟฟ้าใต้ดินต้องหยุดให้บริการหรือหยุดดำเนินการไปอย่างน้อยก็เกือบเดือน
พร้อมกันนั้น ก็เปิดโอกาสให้มีการถลุงเงินของชาติไปอีก อย่างน้อยก็ประมาณ 40 ล้านบาท เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประกาศว่าจะต้องจ้างผู้ชำนาญการจากต่างประเทศมาช่วยฝึกสอนอบรมเพิ่มเติมความรอบรู้ให้แก่พนักงานในฝ่ายปฏิบัติการของรถไฟฟ้าใต้ดินอีกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 40 ล้านบาท
หลังจากที่รถไฟฟ้าใต้ดินหยุดการให้บริการไปเกือบ 1 เดือน จึงได้เปิดการให้บริการใหม่อีกครั้งเมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์
ความระทึกจากเหตุการณ์รถใต้ดินชนกันยังไม่ทันจะจาง เปิดการให้บริการครั้งใหม่ยังไม่ทันไรก็มีปัญหาขัดข้องจนต้องหยุดเดินรถกันกลางทางอีกติดต่อกันถึง 2 ครั้ง 2 คราต่อมา ถึงจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่คนโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อและต้องออกแรงเดินตามทางรถไฟกันเหนื่อยและเสียความรู้สึกกันไปพอแรง
วิกฤติศรัทธาของผู้คนที่มีต่อรถไฟฟ้าใต้ดินเห็นทีจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันนานหน่อยเสียแล้ว
และก็เพราะเหตุผลต่อเนื่องมาจากกรณีรถไฟฟ้าใต้ดินนี้แหละ ทำให้เกิดไอเดียใหม่ขึ้นมาอีก อันเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาจากโครงการขยายเพิ่มเติมระบบขนส่งสาธารณะระบบราง หรือพูดง่ายๆ ก็คือการเพิ่มเติมต่อขยายรถไฟฟ้าลอยฟ้านั่นเอง
เล็งไปที่โครงการรถไฟฟ้าทางยกระดับโฮบเวลล์ที่ปรากฏเสาตอหม้อสร้างค้างเติ่งทิ้งโด่เด่เป็นที่อุจาดแก่สายตาของผู้พบเห็นมานานหลายปีแล้ว น่าจะรื้อฟื้นกลับเอามาใช้ในโครงการใหม่ได้
แต่ปรากฏเป็นข่าวออกมาว่า เสาตอหม้อของโครงการโฮพเวลล์ที่ตั้งโด่เด่อยู่จำนวนถึงกว่า 500 ตอนั้น ตรวจสอบแล้วเป็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานในความมั่นคงแข็งแรง ไม่สามารถจะนำกลับมาใช้งานใหม่ได้
ถ้าจะนำมาใช้ในโครงการใหม่ก็ต้องทุบทิ้งทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในการทุบทิ้งจะตกประมาณ 1,000 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการที่จะสร้างตอหม้อใหม่ขึ้นมาแทนที่
ออกมาในรูปนี้แล้ว ก็เป็นที่แน่ใจได้เลยว่า เสาตอหม้อของโครงการโฮพเวลล์จำนวนกว่า 500 ตัวนี้ก็คงจะต้องดำรงอยู่เป็นอนุสรณ์แห่งความอัปยศควบคู่ไปกับกรุงเทพมหานครของเราต่อไปอีกกาลนานจนกว่าจะผุพังยุบสลายลงมาเองนั่นแหละ
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52427