รอบรู้เรื่องรถ
ร้อยคันมีกี่คัน ?
ที่จริงใช้ชื่อเรื่องว่า "ไม่ทุบไม่ได้แล้ว" ก็ได้เหมือนกัน ผมคงไม่ต้องเล่าที่มาของข่าวนี้นะครับ ไม่ใช่แค่เป็นข่าวระดับชาติ แต่กลายเป็นข่าวระดับโลกไปแล้ว เพราะสำนักข่าวใหญ่ของสหรัฐ ฯ นำไปเผยแพร่ทั่วโลก เป็นความเสียหายที่ประเมินมูลค่าได้ยากมาก ที่แน่ๆ คือมหาศาลระดับที่ต้องใช้เงินค่าโฆษณามหาศาลเหมือนกัน ในการกู้ชื่อเสียงกลับมา ที่จริงรถห่วยแบบนี้ ไม่ได้มีเฉพาะคันนี้ (แน่นอนครับขนาดพนักงานเองยังบอกว่ามีทุกๆ ร้อยคัน) และไม่ได้มีเฉพาะ "แบรนด์" หรือ "ยี่ห้อ" นี้ พนักงานห่วยที่ไม่ดูแล ไม่สนใจไยดีความรู้สึกและความเดือดร้อนของลูกค้า ก็มีอยู่เกลื่อนกลาดทุก "ยี่ห้อ"ด้วย มากบ้างน้อยบ้าง
สาเหตุที่กรณีนี้บานปลายเป็นข่าวใหญ่ระดับนี้ได้ คือการโคจรมาพบกันอย่างประจวบเหมาะ ของรถห่วยพิเศษ พนักงานบริการห่วยพิเศษ ช่างก็ห่วยพิเศษ และตัวแปรที่สำคัญคือเจ้าของรถที่กล้าเป็นพิเศษ คนที่"ฝันร้าย"แบบคุณเดือนเพ็ญมีไม่น้อยครับ แต่อุปนิสัยและบุคลิกภาพอาจจะไม่เหมือนปฏิกิริยาเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงแตกต่างออกไป บางคนไม่ต้องการตกเป็นข่าว บางคนก็ไม่ชอบใช้ความรุนแรง ผมไม่ได้หมายความว่า ควรเอาอย่างคุณเดือนเพ็ญนะครับ ไม่จำเป็นเลย เพราะที่จริงแล้วต้องมีผู้เรียกร้องแทน ปกป้องลูกค้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหล่านี้ หน่วยงานหรือองค์กรพิทักษ์สิทธิและคุ้มครองผู้บริโภคไงครับ ที่ของเรายังอ่อนปวกเปียกแม้จะมีมาหลายปีแล้ว
"ไม่ต้องแปลกใจ อาการแบบนี้ ร้อยคันต้องมีคันหนึ่ง" คำแก้ตัวทำนองนี้เป็นสิ่งที่เลวร้าย ดูหมิ่นลูกค้าอย่างที่สุดแล้วครับ ลูกค้าอย่างพวกเราไม่สนใจว่าในร้อยคัน จะมีปัญหากี่คัน เราต้องการคำขอโทษอย่างนอบน้อมจริงใจ พร้อมกับการแก้ไขจุดบกพร่องอย่างได้ผลและรวดเร็ว สมมติว่าไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วเราเอาธนบัตรปลอมปะปนไปกับของจริงตอนชำระเงินซื้อรถ แล้วบอกพนักงานของบริษัทบ้างว่า ต้องมีบ้างอย่าตกใจไป ในใบละพันบาทร้อยใบจะมีของปลอมราวๆใบหนึ่ง จะเป็นอย่างไร ?
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อย จะต้องเคยได้ยินคำตอบทำนองเหล่านี้ "อ๋อ รุ่นนี้เป็นกันเยอะ เมื่อวานเข้ามา 3 คัน เมื่อเช้าก็มาคันหนึ่งแล้ว ทำอะไรไม่ได้หรอก" บางคนเจอถึงขั้นอยากเอาอวัยวะบางอย่างยัดปากกลับไป เช่น "รถราคาขนาดนี้ จะเอาอะไรมาก"
ที่จริงความบกพร่องในรถของคุณเดือนเพ็ญยังเป็นแค่ปัญหาในการใช้งาน ยังมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านี้อีกครับ นั่นคือความบกพร่องของรถที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่ในประเทศนี้ไม่เคยมีการตามหรือ "เรียก" รถบกพร่องทำนองนี้กลับมาแก้ไขเลย ผู้ที่อ่านนิตยสารรถต่างประเทศเป็นประจำ จะทราบว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ผลิตรถจะตามรถที่บกพร่อง รวมทั้งที่เข้าข่ายน่าสงสัยว่าบกพร่องและไม่ปลอดภัยในการใช้งาน กลับมาแก้ไขครั้งละหลายหมื่น หรือบางครั้งก็เป็นแสนคัน
"ฝรั่ง" มีมโนธรรมสูงส่งขนาดนี้หรือครับ ? เปล่าเลย ประเทศของเขามีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็ง มีกระบวนการยุติธรรมที่ทันสมัย เอาผิดต่อผู้ผลิตสินค้าที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ แค่ถูกฟ้องรายละ 1 พันล้านบาท สัก 20 ราย ก็หนักแล้วครับ ไม่มีใครอยากเสี่ยง แล้วยังมีโทษทางอาญาสำหรับผู้บริหารที่รับผิดชอบ โทษฐานรู้แล้วยังปกปิดอีกด้วย
ผมเคยเรียกร้องมาหลายครั้งแล้ว ผ่านคอลัมน์นี้ ว่าต้องมีการตามรถที่บกพร่องกลับมาแก้ไข โดยเฉพาะความบกพร่องที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ กระทรวงยุติธรรมต้องตั้งหน่วยงานพิสูจน์หลักฐานทางเทคนิคขึ้นมาครับ ซึ่งครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวกับเทคนิคไม่เฉพาะแต่รถยนต์เท่านั้น เราจะคอยแต่ซื้อของใหม่ทันสมัยใช้กัน แบบตามมีตามเกิดไม่ได้อีกแล้ว
ลูกค้าผู้ซื้อรถจะตกเป็นเบี้ยล่างเสมอ ยกเว้นอยู่ตอนเดียว คือช่วงที่รับการ "กล่อม"ให้เคลิบเคลิ้มจากพนักงานขาย เมื่อใดก็ตามที่ลงชื่อในสัญญาซื้อขาย สถานการณ์จะพลิกผัน (โดยเฉพาะรถที่ราคาไม่สูงมากและ "ขายดี") ราศีขอทานจะเริ่มจับ กำหนดรับรถที่ใฝ่ฝันไว้ กลายเป็นเพียงลมปากพล่อยๆ เท่านั้นเอง พนักงานจะเลื่อนกำหนดรับรถกี่ครั้งก็ได้ ด้วยเหตุผลตามสะดวกเท่าที่นึกออก โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าอยากได้ตามกำหนด ต้องเปลี่ยนสี หรือเปลี่ยนรุ่นให้แพงขึ้นไปอีก เชื่อไหมครับ คนพวกนี้มันบอกกำหนดรับรถได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า เมื่อถึงวันนัด ยังไม่สามารถผลิตรถรุ่นนั้นได้เลย
ที่หนักกว่านี้ยังมีอีกมากครับ ตัวอย่างที่ผมนำมาเล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่ประสบโดยคนรู้จักใกล้ชิดผมทั้งนั้น แน่นอนว่ามันเป็นเพียงไม่กี่กรณีจากหลายร้อยหรือเป็นพัน รายหนึ่งทราบว่ารถเยอรมันรุ่นหนึ่งเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่แล้วในต่างประเทศประมาณ 2 ปี จึงไปสอบถามว่าเมื่อใดจะมีขายในเมืองไทยพนักงานรีบบอกว่าเพิ่งผลิตออกจำหน่ายพอดี สั่งซื้อได้เลย ที่จริงรถรุ่นใหม่นี้ก็น่าจะวางขายได้แล้ว
เพราะล่าช้ามานานพอสมควร ผมสงสัยในความเจ้าเล่ห์ของพนักงานพวกนี้อยู่แล้ว จึงแนะนำไปว่า ให้ขอคำยืนยันอีกครั้งว่าเป็นรุ่นใหม่จริง รหัสตัวถังและรูปร่างของรถตามที่ผมมอบให้ เจ้าพนักงานชั่วจึงบอกว่าเป็นรุ่นใหม่ เพราะใส่กันชนหน้าหลังแบบใหม่ ซึงประกอบเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่รุ่นใหม่ "จริง" จะออกจำหน่าย หรืออีกรายที่ซื้อรุ่นราคาสูงสุดเครื่องยนต์ใหญ่ที่สุดที่ประกอบขายในประเทศ ได้รถมาขับแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะมีกำลังมากกว่านี้ ไปสอบถามกับบริษัท ได้คำตอบว่า เป็นรุ่นพิเศษที่ใส่เครื่องยนต์ขนาดเล็กให้ (แต่ไม่ได้ลดราคา) ดูเหมือนจะขายไปเป็นร้อยคัน
ที่จริงกฎหมายก็กำหนดไว้แล้วว่า การต้มตุ๋นไม่จำเป็นต้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น การใช้วาจาหลอกลวงโดยเจตนาก็เข้าข่ายนี้เหมือนกัน อย่ายอมให้นักขายรถพวกนี้มันสะบัดลิ้นแบบศรีธนญชัย ดูถูกลูกค้าเหมือนเป็นวัวเป็นควาย โดยคิดว่าไม่มีใครเอาผิดมันได้ หรือดูกรณี "ซีอาร์-วี" ปลอมของดีเลอร์ที่นครสวรรค์ ที่เอารุ่นถูกกว่ามาดัดแปลงเปลี่ยนอุปกรณ์ แล้วหลอกขายแก่ลูกค้า อ้างว่าเป็นรุ่นสูงกว่าแท้ๆ ที่ผมเห็นว่าเลวร้ายมาก ก็คือการที่บริษัทใหญ่รับรู้อยู่นานแล้วแต่ไม่ดำเนินการใดๆ จนมีผู้ถูกโกงไปมากมาย
คราวนี้ผมขอเล่าเรื่องที่เล็กกว่า แต่เกิดขึ้นกับตัวผมเองบ้าง หลายปีมาแล้ว ผมซื้อรถใหม่คันหนึ่ง เป็นรถประกอบในต่างประเทศ แน่นอนว่าผมรับรถไม่ได้ตามกำหนดที่พนักงานรับปากก่อนผมลงชื่อในสัญญาซื้อ-ขาย ทีแรกก็รู้สึกว่าคงเป็นการผิดนัดเล็กน้อยตามประเพณีไทย แต่กลับนานกว่านั้น ผมสอบถามถึงสาเหตุ เจ้าพนักงานกะล่อนบอกว่า "ยี่ห้อของเราเน้นการตรวจสภาพก่อนส่งมอบเป็นพิเศษยิ่งกว่ายี่ห้ออื่นๆ" ผมคิดว่าจะเลอเลิศอย่างไร ครึ่งวันก็ต้องเสร็จแล้ว ไม่ใช่หลายวัน ลองไปสืบดู และดูจากร่องรอยหลังจากผมได้รับรถแล้ว จึงทราบว่าแอบไปติดตั้งชุดปรับอากาศหรือ "แอร์" กันอยู่ บังเอิญผมเป็นลูกค้ารายแรกๆ ของรุ่นนี้ และยังติดตั้งไม่ชำนาญ ถ้าทราบผมคงรอต่อสักพักแล้วค่อยสั่งซื้อ มันหลอกผมด้วยว่าติดตั้งแอร์มาจากนอก ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร ติดตั้งในนี้ก็ไม่แปลก ถ้าทำเป็นและใช้ของดีคุณภาพสูง เพราะผมทราบมานานแล้วว่า ถ้าติดตั้งมาจากนอก จะถูกเก็บภาษีแพงกว่า ก็ไม่ว่ากัน มันก็ยังมาหลอกเราจนได้ ผมดูจากร่องรอยการรื้อบางจุด การขันนัทด้วยเครื่องมือห่วยๆ ก็รู้แล้วครับ
ขอฝากผู้รับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไว้ด้วยว่า ควรเอาเรื่องพวกที่ต้มตุ๋นลูกค้าด้วยวาจาด้วย
เนื้อที่หมดพอดีครับ ฉบับหน้าผมจะเผยสาเหตุ ที่ท่านผู้อ่านเกือบทุกราย น่าจะเคยผจญกับปัญหาเหล่านี้มาแล้ว ว่าทำไม "ส่งรถเข้าซ่อมแล้วเสียแต่เงิน แต่ไม่หาย" หรือไม่ก็กลับออกมาแล้วเสียยิ่งกว่าเดิมอีก
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52387