รอบรู้เรื่องรถ
เร็วเท่าใดประหยัดที่สุด ?
ผมเพิ่งทราบจากลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัยเมื่อวานนี้ ว่ามีผู้แนะนำวิธีเลือกใช้ความเร็วให้ประหยัดที่สุดแก่ผู้ชมโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ให้ขับที่ความเร็ว 90 กม./ชม. ถ้าขนาด 2,000 ซีซี ก็ต้องเป็น 110 กม./ชม. ไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลยครับ นิยายน้ำเน่ายังใกล้ความจริงกว่ามาก
เมื่อเช้ามาถึงที่ทำงาน เห็นลูกน้องวางนิตยสารรถของไทยไว้เล่มหนึ่ง ก็ดูเป็นเรื่องเป็นราวดี เหมือนผู้ทำตั้งใจปรับปรุงคุณภาพอยู่สม่ำเสมอ พลิกดูข้างในมีการตอบคำถามผู้ชอบ "รถแรง" อยู่ด้วย ปกติผมจะเลี่ยง ไม่อ่านคำตอบพวกนี้ ทั้งๆ ที่ชอบพวกเครื่องแรง รถแข่ง มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะถ้าอ่านเมื่อใด แล้วพบคำตอบแบบโมเมไร้สาระ จิตใจผมก็จะขุ่นมัวไปเปล่าๆ บังเอิญเหลือบไปเห็นเรื่องแหวนลูกสูบ ที่ผู้อ่านนิยมเครื่องแรงรายหนึ่งถามมาว่า แหวนกวาดน้ำมันของเครื่องรุ่นหนึ่ง จะกวาดน้ำมันหล่อลื่นได้ทันหรือไม่ คำตอบก็คือ จะเอาอะไรมาก ขอบแหวนบางอย่างนั้นมันกวาดไม่ทันอยู่แล้ว ได้แค่ไหนก็จงพอใจแค่นั้น
เป็นคำตอบที่ไร้สาระและผิดแบบตรงกันข้ามกับความจริงแบบสุดขั้ว น่าสงสารผู้ถามและผู้อ่านครับผมเลยขยาดและรีบวางทันที อ่านต่อไปก็ยิ่งสังเวชใจหนักขึ้นอีกเปล่าๆ แหวนกวาดน้ำมันแบบชิ้นเดียว จะมีขอบบนและล่างค่อนข้าง "คม" เสมอ ถ้าเป็นแบบสองชิ้น ก็จะเป็นแหวนบางสองวง อยู่ในร่องแหวนเดียวกันที่ลูกสูบ มีสปริงยันให้ประกับกับขอบร่อง สันของแหวนทั้งสองก็เสมือน "คม" เพราะ
ความบางของตัวมัน ไม่ว่าจะเป็นแบบชิ้นเดียวหรือสองชิ้น แหวนกวาดน้ำมันจะบางเสมอ เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความหนา
ผู้ออกแบบเขาต้องการให้มันเบาที่สุดครับ เพราะต้องถูกเร่งและเบรคไปพร้อมกับลูกสูบรอบละสองครั้ง ภาระในการกวาดน้ำมันหล่อลื่นเกือบทั้งหมด เป็นของขอบล่าง (แบบชิ้นเดียว) หรือแหวนวงล่าง (แบบสองชิ้น) ส่วนที่กวาดไม่หมดและเล็ดลอดมาได้ จะถูกขอบบนหรือแหวนวงบนกวาดต่อ โดยส่วนนี้จะไหลลอดตามช่องเล็กๆ เข้าไปด้านในของชายลูกสูบแล้วหยดลงอ่างน้ำมันเครื่องต่อไป ความสามารถในการกวาดน้ำมันเครื่องให้เล็ดลอดไปถึงแหวนวงกลางและวงบนน้อยที่สุด ขึ้นอยู่กับค่าความดันที่หน้าสัมผัสระหว่างแหวนกวาดน้ำมันและผนังกระบอกสูบครับ ซึ่งก็คือแรงที่แหวนกางอัดกับกระบอกสูบต่อพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างขอบแหวน (แบบชิ้นเดียว) หรือหน้าแหวนทั้งสอง (แบบสองชิ้น) ยิ่งพื้นที่นี้น้อย ความดันของหน้าสัมผัสก็จะสูง และจะยิ่งกวาดน้ำมันเครื่องได้ดี
ผู้ออกแบบจึงเลือกขอบแหวน (แบบชิ้นเดียว) และเนื้อแหวน (แบบสองชิ้น) ให้บางมากๆ ทำให้ไม่ต้องให้แหวนกางอัดกับกระบอกสูบอย่างแรง เพราะยิ่งอัดแรงก็จะยิ่งมีความฝืด และกินกำลังของเครื่องยนต์ ทำให้สูญเสียกำลังที่ควรจะได้และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วย
ตามหลักแล้วก็ควรจะมีขอบที่คมกริบเหมือนคมมีด แล้วกางอัดกระบอกสูบแบบเบาๆ แต่มีปัญหาเรื่องการสึกหรอตามมาครับ การเปลี่ยนแหวนใหม่เป็นเรื่องใหญ่มาก และแหวนลูกสูบ ก็เป็นตัวกำหนดอายุใช้งานของเครื่องยนต์ด้วย เลยต้องเลือกขอบที่ค่อนข้างบางหรือค่อนข้างคมเท่านั้น และยังมีเนื้อโลหะพอที่จะต้านการสึกหรอได้ในระยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นจะกวาดทันหรือไม่ทัน มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับความบางของแหวนเลยครับ
ที่จริงแล้วเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ที่เราจะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ในวงแคบเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับอาชีพหรืองานประจำของเรา และผมก็เชื่อว่าผู้อ่านทั่วไป ก็ไม่คาดหวังว่านักตอบปัญหาจะต้องรู้คำตอบของทุกปัญหา ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ได้ครับ หรือยังมีทิฐิก็เว้นหรือข้ามไปเฉยๆ ก็ได้ ดีกว่าโมเมทึกทัก ให้ความรู้ผิดๆ แก่ผู้อ่าน บาปหนักครับ พวกนักเขียนเรื่องและนักตอบปัญหารถ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า ผู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องราวที่มีโอกาสได้อ่านหรือได้ศึกษาเล่าเรียน ให้แก่ผู้ที่สละเงินซื้อนิตยสารรถเท่านั้น
ปัญหาอยู่ที่ความหลงตัวว่าทำไปนานปีเข้า แล้วจะกลายเป็น "เซียนรถ" "ปรมาจารย์หรือพระอาจารย์รถ" ระดับแค่เอียงคอฟังคำถามทางโทรศัพท์จนจบประโยค ก็ตอบได้เลยอย่างยาวเหยียด ทุกเรื่องของรถทุกรุ่นทุก "ยี่ห้อ" บางเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้อ่าน น่าเขียนลงทันที ผมยังต้องรอถึงครึ่งค่อนปีก็มี เพื่อใหได้ข้อมูลหรือความรู้ที่เพียงพอและถูกต้องก่อน ทุกวันนี้ยังไม่เลิกดีใจเลยครับ ที่สามารถขอเลิกงาน "รักษาโรคของรถทางหน้ากระดาษหรือทางโทรศัพท์" ไปได้ เหมือนเวลาเราป่วย เราก็จะไม่โทรศัพท์ไปถามหมอเอาเองนะครับ ว่าผมมีอาการอย่างนี้ ทำอย่างไรดี ? ถึงถาม หมอจริงก็จะไม่ตอบแน่นอน จนกว่าจะได้ตรวจตามขั้นตอนได้ครบถ้วน
กลับมาเข้าเรื่องความเร็วที่รถประหยัดน้ำมันได้ดีที่สุดกันต่อครับ เป็นค่าความเร็วคงที่ในเกียร์สูงสุดหรือเกียร์สุดท้ายของรถ ถ้าใช้เกียร์อัตโนมัติก็ในเกียร์จังหวะสุดท้าย และถ้ามีระบบลอคอัพ (LOCK-UP) คลัทช์ ซึ่งต่อตรงโดยไม่ผ่านทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ก็ต้องไปให้ถึงความเร็วที่ระบบนี้ทำงานเรียบร้อยก่อน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 กม./ชม. รถเกียร์อัตโนมัติหลายรุ่นด้วยกัน โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น เกียร์จังหวะที่สี่ จะเป็นระบบลอคอัพในตัวเลย ถ้าเข้าก็แปลว่า "ต่อตรง" ทันที ระบบแบบนี้จะมีปุ่มปลดเกียร์สุดท้ายให้ผู้ขับเลือก โดยมีคำว่า OVERDRIVE OFF กำกับไว้ กดเมื่อใดระบบควบคุมจะเลือกเกียร์จังหวะสูงสุดแค่รองสุดท้ายเท่านั้น ใช้ตอนที่ต้องเร่งแซงบ่อยๆ เพราะอัตราทดเกียร์สุดท้ายต่ำมาก เนื่องจากเน้นประหยัดเชื้อเพลิงและระบบควบคุมก็ไม่ละเอียดถูกใจเรา พอที่จะเปลี่ยนไปเกียร์ต่ำถัดไป แม้จะเหยียบคันเร่งค่อนข้างลึกแล้ว กดปุ่มนี้แล้วมันจะเปลี่ยนเกียร์ทันทีครับ พอแซงพ้นแล้วค่อยปลดกลับตามเดิม
กลับมาที่รถเกียร์ธรรมดา เพื่อให้เข้าใจเรื่องความเร็วประหยัดน้ำมันที่สุดได้ง่ายกว่าครับ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 50-60 กม./ชม. ตั้งแต่ความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ขึ้นไป กำลังของเครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการดันตัวรถให้แหวกและไล่อากาศหน้ารถ นอกเหนือไปจากส่วนที่ใช้ไปกับแรงเสียดทานในการกลิ้งของล้อ และแรงเสียดทานของระบบขับเคลื่อน ถ้าอยากเข้าใจว่าทำไมส่วนที่ใช้สู้กับแรงต้านอากาศมันถึงมากมายนักลองเปิดกระจกตอนรถแล่นด้วยความเร็วแค่ 100 กม./ชม. แล้วยื่นฝ่ามือออกไปขวางดูก็ได้ครับ แรงต้านนี้จะเพิ่มขึ้นในอัตรายกกำลัง 2 ของค่าความเร็ว เช่นแรงต้านอากาศที่ความเร็ว 160 กม./ชม. จะมีค่า 4 เท่า ของที่ความเร็ว 80 กม./ชม.
นี่คือสาเหตุที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจว่าทำไมยิ่งขับเร็วยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น เมื่อเที่ยบกับระยะทางที่ได้ ทั้งๆ ที่ใช้เวลาขับน้อยลง สมมุติว่าแรงต้านอากาศมันเพิ่มตามสัดส่วนของความเร็ว เช่น เพิ่มความเร็วเป็น 2 เท่า แรงต้านอากาศก็เพิ่มเป็น 2 เท่า (ของจริง 4 เท่า) เราคงไม่ต้องมาเรียกร้องให้ขับช้าเพื่อประหยัดน้ำมันกันอยู่ในขณะนี้ ยกเว้นว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย (ซึ่งก็มีเรื่องของยกกำลัง 2 มาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน)
ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมความเร็วที่ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด จึงไม่อยู่ที่ค่าต่ำมากกว่านี้ เช่น 30 หรือ 40 กม. /ชม.? สาเหตุอยู่ที่เครื่องยนต์ 2 ประการด้วยกันครับ เพราะที่ความเร็วระดับนี้ในเกียร์สุดท้ายเช่นเกียร์ 5 เครื่องยนต์จะหมุนช้าเกินไป ให้แรงบิดน้อย จนมีอาการสะดุดหรือกระตุก แล้วถ้าใช้เกียร์ 4 ล่ะ ? ก็ทำได้ครับ แต่จำนวนรอบที่เพลาของเครื่องยนต์หมุนต่อระยะทางที่รถเคลื่อนที่ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยจึงต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น แม้จะลดแรงต้านอากาศลงได้บ้าง ก็ยังไม่คุ้ม สู้เกียร์ 5 (หรือเกียร์สุดท้ายที่มี) ไม่ได้
เป็นโชคดีครับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจมีนักขับประหยัด ขับกันแค่ประมาณ 30-40 กม./ชม. บนทางด่วน ทางแสนแพงของเราก็จะยิ่งหมดความคุ้มค่าไปอีก สรุปแล้วต้องเกียร์สูงสุด ซึ่งหลายๆ รุ่นก็ยังขับที่ความเร็วแถวๆ 40 กม./ชม. ได้ แต่ที่ไม่ประหยัดที่สุด เพราะเทคนิคเครื่องยนต์ครับ จังหวะเปิด/ปิดลิ้นหรือวาล์วทั้งไอดีและไอเสียถูกเลือกมาให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีที่ความเร็ว (ของเครื่องยนต์)ปานกลาง และสูง ถ้าหมุนช้า ประสิทธิภาพของมันจะลดลง นั่นคือใช้เชื้อเพลิงมากเมื่อเทียบกับกำลังที่มันให้ด้วยเหตุผลนี้มาผสานกับแรงต้านอากาศที่เพิ่มตามความเร็ว ทำให้รถส่วนใหญ่ มีความเร็วในเกียร์สูงสุด และใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุด อยู่ที่ประมาณ 50-60 กม./ชม. โดยรถเครื่องใหญ่หรือกำลังสูง จะมีค่านี้ "เคลื่อน" ไปทางด้านบนเล็กน้อย เพราะอัตราทดรวม (ของเกียร์สุดท้ายและเฟืองท้าย) ต่ำกว่า แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรครับ ก็ยังคงอยู่ ก็ยังคงอยู่แถวๆ ประมาณ 60 กม./ชม. เท่านั้น
แล้วถ้าเน้นการประหยัดเชื้อเพลิง เราควรขับที่ความเร็วที่ว่านี้หรือไม่ ? ตอบว่าใช่ก็ได้ตอบว่าไม่จำเป็นก็ถูกอีกเหมือนกัน ถ้าเรามีกราฟความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระหว่าง 60-80 กม./ชม. ต่างกันไม่มาก ผิดกับค่าระหว่าง 120-140 กม./ชม. คำตอบสำหรับภาคปฏิบัติก็คือ ถ้าเวลาที่ใช้เดินทางไม่มีความหมาย เช่นว่างงานอยู่ หรือเป็นวันหยุด แล้วต้องการประหยัดจริงๆ ก็ 55-60 นี่แหละครับ แต่ถ้าเน้นเวลาที่ใช้เดินทางอยู่บ้าง แล้วยังอยากประหยัด ก็ประมาณ 80 ครับ เปลืองเชื้อเพลิงขึ้นอีกนิดเดียว ถ้าเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ก็เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก (พร้อมกับเงินค่าน้ำมันด้วย) อย่าให้เกิน 120 แหละครับดี ที่จริงเกิน 90 ก็ผิดกฎหมายแล้ว
สิ่งที่ผมอยากจะเน้นก็คือ ที่จริงแล้วเราไม่ได้ขาดแคลนเวลาจนถึงขั้นวิกฤตจนต้องขับ 160-200 หรอกครับ ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ เป็นเพราะเราประมาทชะล่าใจ ถือว่าทำความเร็วชดเชยกับเวลาที่สูญไปกับการเถลไถลได้เท่านั้นเอง ถ้าตั้งใจจริงและมีความรับผิดชอบ เกรงใจผู้อื่น ไปทันนัดได้เสมอโดยไม่ต้องขับเร็วถึงขั้นอันตรายครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52293