โค้งอันตราย
สังคมวุ่นวาย
ติดตามข่าวคราวบ้านเมืองกันบ้างหรือเปล่าครับ ลองสรุปเรื่องน่ารู้มาพอสังเขปนะครับ
เริ่มด้วยข่าวประชุม ครม. นัดประวัติศาสตร์ ที่เมืองทองธานี ก็ที่เตรียมจะจัดงานมหกรรมยานยนต์เดือนธันวานี้นั่นแหละ ประชุมหนนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนคนธรรมดาเข้ารับฟังได้
แล้วก็มีศัพท์แสง ทางเศรษฐศาสตร์ ทางการตลาดออกมาสนุกสนาน นอกเหนือจากภาษาดอกไม้ประสาไทยแท้แต่โบราณ
พอรู้จักกันมั่งไหมครับ เคพีไอ ตัวชี้วัดความสามารถ บอสตัน โมเดล 4 ชนิด เบบี ธุรกิจตั้งใหม่-ดอกธุรกิจที่ขาดทุน-สตาร์ ธุรกิจที่ทำกำไร และ แคชคาว ธุรกิจที่ทำกำไรแล้ว ที่นักศึกษาเอมบีเอ ต้องเรียนกันทุกคน ขนาดกระผมได้ยินมานิดเดียว ต้องรีบสะกิดถามเพื่อนที่เรียนเอมบีเอ ทันที ว่ายังพอจะจำกันได้มั่งหรือเปล่า เห็นพณหัวเจ้าท่าน จำมาแม่นเหลือเกิน ท่าทางเหมือนมีโนทวางตรงหน้าเลย
พรรคพวกที่เรียนกันมา บอกได้แต่ว่าส่งคืนอาจารย์ไปหมดตั้งแต่ตอนรับปริญญาแล้ว
สงสารก็แต่พวกนักศึกษา หรือพวกที่ต้องทำสรุปส่งให้ พณหัวเจ้าท่านนั่นแหละครับ ต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เล่มหนาเท่าสมุดหน้าเหลือง บางทีหนากว่า มีศัพท์แสงสารพัด แถมต้องแปลเป็นภาษาไทยอย่างย่อ สรุปให้เหลือสองหน้ากระดาษ เอ 4 เพื่อเอาไปสรุปเป็นหัวข้อย่อยๆ ให้ พณหัวเจ้าท่านเข้าใจ ก่อนจะเอาไปใช้งาน
แหม คนเป็นประชาสัมพันธ์ส่วนตัวให้เนี่ย ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริงๆ ครับ
ข่าวถัดมา เป็นเรื่องที่ยูเนสโก แถลงผลการสำรวจด้านการศึกษาและวัฒนธรรมว่า มาตรฐานการศึกษาของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 60 สูงกว่าเพื่อนบ้านอาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กับ พม่า
ผิดกันกับข่าวแรกเลยนะครับ เลยไม่อยากเล่าต่อเลย
อีกข่าวนะครับ องคมนตรี อดีต รมต. กระทรวงศึกษา ศ. นพ. เกษม วัฒนชัย ปาฐกถาในงานเปิดประชุมวิชาการ พอคัดย่อยเรื่องจิปาถะมาเล่าสู่กับฟังเล็กๆ ได้ดังนี้
สังคมไทยเป็นสังคมที่แตกขั้วกันมากขึ้น แปลกแยกกันมากขึ้น ตัวเลขจากแผนพัฒนาฉบับ 1-9 ชี้ว่าคนรวย 20 % ครอบครองทรัพย์สินของประเทศ 57 % ส่วนคนจน 20 % ครอบครองเพียง 3.4 %
แล้วท่านก็อธิบายต่อว่า ถ้าเอาทรัพย์สินของประเทศมาวาง 100 บาท คนรวย 20 คนแรกได้ครอบครอง 57 บาท แต่พวกที่จน 20 คน ได้ครอบครองเพียง 3.40 บาท
อันนี้กระผมขอแทรกปาฐกถาหน่อยนะครับ ว่าส่วนที่เหลืออีก 60 % เป็นชนชั้นกลาง ครอบครองทรัพย์สินของประเทศส่วนที่เหลือเกือบ 40 % เท่านั้นเอง
เรียกว่ายังต้องมีบัตรเครดิทกันคนละ 4-5 ใบ สลับเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ กดเงินจากบัตรโน้น มาจ่ายให้บัตรนี้ เพื่อรักษาเครดิท หรือพูดอย่างสุภาพก็ว่า รักษาหน้า แหละครับ
แถมสินเชื่อรายย่อย หรือพวกรากหญ้า ที่ต้องชำระดอกเบี้ยมหาศาล แถมค่าปรับก็แพง ยังไงก็เจริญเติบโตกันบานสะพรั่ง
ก็ดีครับ นักการตลาดได้มีงานเพิ่มขึ้นที่หลากหลาย โดยไม่ต้องคาดหวังจากงานบริษัทใหญ่ๆ อย่างใดเลย
ขอต่อปาฐกถาอีกหน่อยเดียวนะครับ ท่านว่า
ตัวเลขเงินฝากธนาคารพาณิชย์ของคนกรุงเทพ 2 ใน 3 เป็นของอีก 75 จังหวัดแค่ 1 ใน 3
แต่ประมาณการยอดขายรถยนต์ทั้งประเทศ ตัวเลขราว 35 % อยู่ในกรุงเทพมหานคร ที่เหลือราว 65 % กระจายอยู่ตามภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อันนี้ของกระผมเองนะครับ ไม่ใช่ของท่านองคมนตรี
ตัวเลขมันดูกลับทางกันนะครับ แถมบรรดารถราคาแพงๆ เสียภาษีเยอะๆ ส่วนใหญ่ก็ขายกันแต่ในกทม. คนซื้อก็ซื้อไปเก็บ ไม่ค่อยเห็นวิ่งในท้องถนน
แต่ถ้าเห็นรถหน้าตาแปลกๆ เลขทะเบียนแปลกๆ แบบเก้าสี่ตัวอะไรนั่น ยิ่งรวยหนักเข้าไปใหญ่ครับเพราะต้องแถมอีกตั้ง 4 ล้าน ถึงจะได้เลขที่ว่ามาใช้
คนเดินดิน กินข้าวแกง นั่งรถไฟฟ้ามั่ง นั่งรถใต้ดินมั่ง นั่งแทกซีมั่ง เป็นชาวเกาะ อาศัยรถชาวบ้านเขามั่ง อย่างพวกกระผมนี่ ไม่รู้เมื่อไรจะมีบุญ มีวาสนากับเขามั่ง
เข้าเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับแกสโซฮอล ที่โด่งดังระดับประเทศ เพราะมีระดับรัฐมนตรีออกมาแถลงข่าว เอาบรรดาประธานบริษัทรถยนต์ ผู้บริหารระดับสูง ขนรถยนต์ยี่ห้อแพงๆ มาเติมแกสโซฮอล กันให้สนั่นเมือง
แต่ผู้ใช้รถใช้ถนนก็ยังกังวลอยู่ดีแหละครับ พรรคพวกข้างๆ กันนี่ยังมีเรื่องถามฝ่ายเทคนิคค่ายรถยนต์ต่างๆ กันแทบจะทุกวันแหละครับ
เอาแค่เรื่องสรุปนะครับ เพราะเรื่องนวนิยายขนาดยาวนี้ คงมีเรื่องให้คุยกันอีกนาน
เรื่องแรก หาข้อมูล ขอความร่วมมือจากบราซิล เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเอธานอล รวมทั้งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่ใช้เอธานอลเป็นเชื้อเพลิง
จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการด้านเอธานอลร่วมกัน พร้อมเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ดูงานโฟล์คสวาเกน ที่บราซิล พบว่า การใช้เอธานอลเป็นส่วนผสมไม่เกิน 5-10 % ไม่จำเป็นต้องดัดแปลงใด ๆ เลย โดยเฉพาะรถหัวฉีด แต่ถ้าเป็นรถอายุมากหน่อย ที่ใช้คาร์บิว อาจต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้ได้สัดส่วนผสมของอากาศและไอน้ำมันมีความเหมาะสม
แต่ถ้าเริ่มผสมเพิ่มมากขึ้นในสัดส่วน 10-25 % ต้องปรับปรุงระบบหัวฉีด และปั๊มหัวฉีดรวมทั้งถังและท่อที่สัมพันธ์เชื้อเพลิง จะต้องทำการเคลือบสารเพื่อป้องกันการสึกกร่อน
ถ้ามากขึ้นไปอีกผสมในสัดส่วน 25-100 % ต้องปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงและระบบเกียร์ รวมทั้งระบบการทรงตัวของรถยนต์ เพื่อให้รองรับกำลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เนื่องจากเอธานอล 100 % จะมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า และกำลังขับเคลื่อนที่แรงกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดา
ฟากของบริษัทน้ำมัน บ้านเราให้บางจาก กับ ปตท. เป็นตัวตั้งตัวตี ที่จะร่วมกับผู้แทน บริษัท PETROBAS ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของบราซิลและเป็นหนึ่งในกลไกภาครัฐในการพัฒนาอุตสาหกรรมเอธานอลของประเทศบราซิล ให้ความสนใจในการพัฒนาตลาดเอธานอลในเอเชียเป็นอย่างมาก
ตั้งโครงการ STRATEGIC ENERGY LAND BRIDGE เพื่อใช้เป็นฐานการสำรองและเป็นศูนย์กลางการกระจายเอธานอลไปยังประเทศที่มีศักยภาพและกำลังซื้อในเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่อไป ในอนาคต
ที่ว่ามากนี่ก็เพราะเขาเล็งจะใช้เราเป็นสะพาน กระโดดข้ามไปยังประเทศในแถบอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศจีน พี่เขาก็เลยเสนอแนวทางความร่วมมือกับประเทศไทย ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ หรือเจ้าหน้าที่ด้านเอธานอล
หรือเรียกง่ายๆ ว่า ฟากโน้นก็เล็งอนาคตใช้เราเป็นหนูลองยา หรือเปล่า ?
กระผมคงไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะครับ
แต่เท่าที่คุยๆ กันมา ช่างเทคนิคของบริษัทรถยนต์ ให้คำแนะนำอย่างเป็นกลางว่า รถของพี่ที่มีอายุแจ้งเกิดมาเมื่อสองปีที่แล้ว หรือปี 2545 พี่น่าจะใช้เบนซอน ออคเทน 91 ดีกว่า เพราะราคาถูกกว่า 95 ตั้งบาทหนึ่ง ในขณะที่น้ำมันแกสโซฮอล ถูกกว่าแค่ 70 สตางค์เท่านั้นเอง
แถมค่ายรถยนต์เอง ยอมลดตัวลงมาใส่โลโก 91 ในโฆษณาแล้ว ถ้ารถพี่เป็นอะไรไป ถล่มได้ทันที
ผมเชื่ออันหลังสุดนี่มากกว่าครับ หรือท่านมีอะไรจะเสนอแนะ โปรดยกมือ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52286