เล่นท้ายเล่ม
หลงกลิ่นกรุงเทพ ฯ
ถนนสายราชดำเนินกลาง เป็นถนนสายแรกที่ผมทำความรู้จักเมื่อเข้ามาเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพ ฯถนนสายนี้อยู่เคียงข้างท้องสนามหลวง ศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว โดยมีรถรางให้การบริการเชื่อมต่อไปยังถนนสายอื่นๆ
เมื่อเห็นภาพใหม่ๆ ผมก็รู้สึกว่า ถนนราชดำเนินกลางเป็นถนนสวยที่สุด กว้างใหญ่โตมีตึกราม 2 ข้างถนนเรียงรายเป็นระเบียบ กับสีสันของมันที่สอดคล้องกันตลอดสาย
แต่ถนนที่ผมใช้เป็นประจำมากกว่า เริ่มต้นจากท่าช้างวังหลวง ผ่านท่าราชวรดิตถ์ ผ่านท่าเตียน และปากคลองตลาด จนถึงเชิงสะพานพุทธ ไปถึงโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยอันเป็นสถาบันศึกษาของผมแห่งแรกในเมืองหลวง
ถนนสายนี้เริ่มตั้งแต่สะพานเจริญรัฐ ปากคลองตลาด ไปสิ้นสุดบริเวณท่าช้างวังหน้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้นหลังจากเสด็จกลับจากประพาสสิงคโปร์ ปี 2415 เรียกว่าถนนราชินี ผ่านโรงเรียนราชินีซึ่งมาเกิดเอาเมื่อ 18 ปีหลังจากนั้น
ความประทับใจในถนนราชดำเนินกลางคือตัวอาคาร 2 ฟาก แต่ความประทับใจของถนนราชินี ที่ผมนั่งรถรางจากท่าช้างวังหลวงไปโรงเรียนสวนกุหลาบทุกวันนั้น ประกอบด้วย บริเวณพระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพน ฯ และถนนท้ายวังที่คั่นอยู่ระหว่างวัด กับ พระบรมมหาราชวัง ชนกับท่าเตียน
เมื่อพูดถึงถนนท้ายวัง ก็ต้องขยายความไปถึงถนนหน้าวังเรียกว่า ถนนหน้าพระลาน แต่คนทั่วไปมักเรียกว่า ถนนท่าช้างวังหลวง เพราะเป็นทางที่ช้างของวังหลวงใช้ลงท่าอาบน้ำ
ท่าช้างวังหลวงเป็นท่าเรือโดยสารข้ามฟากไปยังท่าพรานนก ท่าศิริราช มีอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวสร้างอย่างทันสมัย (ของสมัยโน้น) คือ สร้างเป็นรูปทรงยุโรป
งดงามและอลังการอย่างยิ่ง ถึงวันนี้ยังไม่ทราบจะเหลือให้เห็นรูปลักษณ์เดิมๆ หรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ ผมเติบโตขึ้นก็ทำความรู้จักกับอีกหลายถนนของกรุงเทพ ฯ ถนนสายหนึ่งที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเมื่อเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คือ ถนนเจริญกรุง
ผมใช้รถรางอีกน่ะแหละเป็นผู้แนะนำให้ผมรู้จัก ถนนเจริญกรุง มีผู้เล่าให้ฟังว่าถนนสายนี้เป็นถนนรุ่นแรกพร้อมกับอีก 2 ถนนคือ ถนนบำรุงเมือง และ เฟื่องนคร ที่สร้างด้วยการใช้เทคนิคการสร้างตามแบบยุโรป
เรียกว่า สยาม ณ เวลานั้นทัดเทียมอารยประเทศก็แล้วกันละครับ
ถนนเจริญกรุงแบ่งเป็น 2 ตอน เนื่องจากเป็นถนนสายยาวมาก แบ่งเป็นถนนเจริญกรุงในเขตกำแพงเมือง เริ่มจากบริเวณหน้าวัดพระเชตุพน ฯ จนถึงสะพานดำรงสถิตย์ ต่อกับถนนเจริญกรุงตอนนอกกำแพงเมือง จนถึงบริเวณตำบลดาวคนอง
ผมเรียนหนังสือที่สวนกุหลาบก็รู้จักถนนสายนี้บ้างแล้ว เพราะมีโรงภาพยนตร์สง่างามที่สุดของกรุงเทพ ฯ คือ ศาลาเฉลิมกรุง ผมมักนั่งรถรางกับเพื่อนร่วมโรงเรียนจากศาลาเฉลิมกรุงไปจนถึงตำบลดาวคนอง ผ่านสถานที่สำคัญของกรุงเทพ ฯ มากมาย ทั้ง บริเวณสามย่าน ทั้ง ถนนเยาวราช ถนนราชวงศ์ ตลาดเก่า ห้างใต้ฟ้า ร้านอาหารสีฟ้า ราชวงศ์ โรงหนัง 2 โรงทั้ง โรงภาพยนตร์เยาวราช และโรงภาพยนตร์ราชวงศ์
ที่ศาลาเฉลิมกรุงนั้น หอมหวนด้วยกลิ่นอายกรุงเทพ ฯ อย่างมาก ทั้ง สะพานหัน สะพานเหล็ก ที่มีไอศครีมไข่แข็ง ทั้งร้านกาแฟนามกระฉ่อนเมืองคือ "ออน ล็อก หยุ่น" ขาประจำของร้านนี้คือ พล นิกร และกิมหงวน ของ ป. อินทรปาลิต
ก่อนจะแวะไปที่อื่น ผมอยากชวนท่านผู้อ่านเข้ามาดู "ออน ล็อก หยุ่น" ในปัจจุบัน
ยังอยู่ครับ และยังขายกาแฟเหมือนเดิม ใกล้กับศาลาเฉลิมกรุงเป็นโลเกชันเดิม ลูกค้าที่เข้ามามักใช้เป็นแห่งจิบกาแฟในราคาไม่แพงจนเกินไปนัก ถ้าเป็นตอนเช้า ก็มีเมนูชุดกาแฟ ด้วยราคา 67 บาท ท่านก็จะได้รับประทานชุดเช้าเต็มอัตราศึก มีไข่ดาว แฮม ไส้กรอก เบคอน ขนมปังพร้อมเนย หรือสังขยา พร้อมด้วยเครื่องดื่ม 1 แก้ว จะเป็นกาแฟร้อน กาแฟเย็น หรือเครื่องดื่มอื่นตามสั่ง ตบท้ายด้วย ชาร้อนกลั้วคออีก 1 แก้ว
ส่วนกาแฟทั่วไป สั่งมาเพื่อหากลิ่นกรุงเทพ ฯ ก็เป็นกาแฟพื้นฐาน คือ กาแฟร้อนและกาแฟเย็น ในราคา 15 และ 17 บาท ชาร้อนและชาเย็น โอเลี้ยง ชาดำเย็น ชามะนาว นมเย็น หรือไมโลร้อน ไมโลเย็น
หนังสือพิมพ์ก็มีให้อ่านเช่นเดียวกับร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไป
นอกจากร้าน "ออน ล็อก หยุ่น" แล้ว ตรงข้ามกับศาลาเฉลิมกรุงยังเป็นสถานเมามันบันเทิงอีกต่างหากเพราะเป็นที่หากินของนายหรั่ง เรืองนาม เจ้าของคณะระบำโป๊ ป้ายหน้าโรงของเขาคือ ระบำคณะนายหรั่ง เรืองนาม ยึดเป็นเอกลักษณ์สำคัญของตลาดบำเพ็ญบุญไปเลย
คุณจุรี โอศิริเล่าให้ฟังว่า นายหรั่ง นั้นเป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง ตาสีน้ำข้าว ผมเป็นสีแดงเห็นเด่นไกลมาก มองไปแล้วจะว่าเป็นลูกครึ่งก็ไม่แน่ใจ
สไตล์ของระบำตาหรั่งนั้น ตัวตาหรั่งเองจะแต่งตัวเป็นท้าวอุศเรน สวมหมวกใหญ่เหมือนหมวกทหารม้าของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ออกมาหน้าโรงใช้โทรโข่งเรียกคนดู พร้อมด้วยขบวนสาวน้อยพุงขาวๆ มาเต้นระบำในชุดนุ่งแต่น้อยห่มแต่น้อย เต้นเป็นแซมเพิล หรือเป็นหนังตัวอย่าง หรือไม่ก็อาจเรียกได้ว่า เป็น ทีเซอร์โฆษณา ก่อนจะตัดสินใจเสียสตางค์เข้าไปดูเรื่องยาวในโรง
เล่ากันด้วยว่า เดิมทีนั้นตาหรั่งแกหากินไม่ไกลวัด ปักหลักอยู่กับวัดเลยก็ว่าได้ นับเป็นเขตการค้าเสรีที่แปลกมาก สามารถเอาระบำโป๊ไปอยู่กับวัดโดยไม่มีตำรวจไปรบกวน แต่ลองสืบดูแล้วตาหรั่งแกก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมาก ไม่ได้ชื่อชูวิทย์ ไม่ได้เป็น สว. หรือมหาจากสำนักธรรมที่ไหน แต่ที่ทำกินใกล้กับวัดได้ เพราะวัดมีงานวัด ตาหรั่งแกก็ตั้งระบำโป๊ของแกเป็น 1 ในมหรสพของงานวัด
งานวัดแต่เดิม ความบันเทิง 2 ประการอยู่ด้วยกันมาตลอด คือ ระบำตาหรั่ง และมวยไทย ต่อมาก็มี รำวง เพิ่มอีก 1 สาขา
นอกจากนี้ ถนนเจริญกรุงก็เริ่มมีรถเมล์ประจำทาง วิ่งตลอดสายเป็นรถที่คนกรุงรู้จักกันดีเรียกว่า รถ รสพ.
เลยจากศาลาเฉลิมกรุงไปนิดเดียว ก็เป็นบริเวณสามยอด เริ่มแต่ช่วงสะพานดำรงสถิตย์ หรือสะพานเหล็กนั่นแหละครับ สามยอดนั้นคนสมัยใหม่ถัดมาอาจถือว่าเป็นสถานที่ทำงานหรือสำนักงานใหญ่ของ กองปราบปราม แต่สามยอดก่อนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นนารีน่ารัญจวนเสน่หาอย่างยิ่ง เนื่องจากสามยอดเป็นแหล่งที่ผู้หญิงซึ่งประกอบอาชีพเป็นหญิงโสเภณี หรือ หญิงคนชั่ว ออกมาเดินหากินเป็นจำนวนมาก
นอกจากเป็นถิ่นพลอดรักแล้ว สามยอดยังมีบริเวณประตูสามยอดที่มีสถานการพนันอันเป็นที่รู้จักดีของคนกรุงเทพ ฯ คือ เป็นโรงหวย เล่นกันแบบไม่มีวันหยุดพัก ทั้งวันทั้งคืน โดยมีมหรสพ ทั้ง งิ้ว ลิเก และการร้องเพลง บริการอย่างไม่อั้น
สถานที่เล่นการพนันแห่งนี้เรียกว่า โรงบ่อนเบี้ย สามยอด การออกหวยมีการออกหวยกันวันละ 2 ครั้งระหว่างเวลาสี่ทุ่มครึ่งถึงสองยามเรียกว่า หวยรอบดึก กับระหว่างเวลา 6 โมงเช้าถึงก่อนเที่ยงเรียกว่าหวยรอบเช้า
คนที่เล่นหวยรอบดึกอาจจะถือโอกาสหลับนอนเสียที่นี่เลยเพื่อรอผลการออกหวย ถ้าถูกก็เท่ากับมีทุนลงเล่นรอบเช้าต่อไปได้เลย ไม่มีอินเตอร์มิชชัน
นอกจากหวยก็มี โรงยาฝิ่นและโรงกัญชา ถึงวันนี้ก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เปิดบริการเฉพาะตอนกลางคืน พร้อมด้วยโรงรับจำนำซึ่งถือเป็นเครื่องเคียงของสถานออกหวย แยกจากกันลำบากมากและไม่มีใครคิดจะไปแยกมันด้วย
ซ่องโสเภณีของกรุงเทพ ฯ นั้น ผมมาทำความรู้จักเอาตอนที่เข้าเรียนธรรมศาสตร์แล้ว ถือว่าเป็นหนุ่มสมควรตามวัยที่จะท่องไปบนถนน WILD SIDE ของกรุงเทพ ฯ มีทั้ง สะพานดิน หลังโบสถ์พราหมณ์เชิงสะพานพระโขนง ย่านประตูผี ข้างเรือนจำกรุงเทพ ฯ สุขุมวิทซอยไปดีมาดี และสะพานถม
กลิ่นอายกรุงเทพ ฯ วันนี้จะมีให้ดมที่ไหนบ้างก็ดูเป็นความยากลำบากไม่น้อย เพราะนับแต่รถรางของผมเลิกการบริการไปแล้ว กลิ่นต่างๆ ก็พลอยหายสาปสูญไปด้วย
แต่ผมก็ยังเห็นว่า สนามหลวงยังพอเหลือกลิ่นอายกรุงเทพ ฯ บ้าง ทั้งในฤดูกาลเล่นว่าวประจำปีหรือนอกฤดูกาล ก่อนจะถึงวาระโครงการขุดใต้สนามหลวงทำเป็นที่จอดรถ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางบทบางตอนของเมืองนี้ เพราะเมืองสวรรค์อย่างกรุงเทพ ฯ นั้น มีสถานที่สำคัญๆ อื่นอีกมากครับ
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52264