บทความ
น้ำมัน เกาจนคันไปทั้งตัว
ราคาน้ำมันเบนซิน 95 วันนี้เกินกว่า 22 บาท เบนซิน 91 ก็เกิน 21 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลยังคงยืนหยัดด้วยแรงตรึงราคาอยู่ที่ยังไม่ถึง 15 บาท
เป็นราคาน้ำมันที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
ที่มาที่ไปของราคาน้ำมันที่แพงเป็นประวัติการณ์นี้ อ้างอิงโดยการยึดถือเอาแหล่งตลาดน้ำมันที่สำคัญของโลก 2 แห่งเป็นบรรทัดฐาน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐอเมริกามีการซื้อขายกันที่ระดับเกือบ 49 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณเกือบ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาด 2 แห่งนี้คือตัวชี้เป็นชี้ตายของราคาน้ำมันในตลาดเมืองไทยมาโดยตลอด
แต่โดยความเป็นจริง ราคาน้ำมันในตลาดเมืองไทยแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนที่จะต้องได้รับผลจากราคาน้ำมันในตลาดทั้ง 2 แห่งนี้แต่อย่างใดเลย
ไทยเราไม่เคยซื้อน้ำมันดิบจากตลาดสหรัฐอเมริกาเอามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปขายและใช้ในตลาดเมืองไทย ราคาน้ำมันในสหรัฐ ฯ เป็นเรื่องของสหรัฐ ฯ โดยเฉพาะ
และเช่นเดียวกัน เราก็ไม่ได้ซื้อน้ำมันสำเร็จรูปมาจากสิงคโปร์ด้วย จะถูกจะแพงก็เป็นเรื่องของสิงคโปร์ที่ดำเนินธุรกิจการค้าน้ำมันในลักษณะของโบรคเกอร์เท่านั้น
แล้วทำไมไทยเราถึงต้องไปยึดถือเอาราคาน้ำมันในตลาดทั้ง 2 แห่งมาเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันในบ้านเรา
รู้ๆ กันอยู่ว่า ไทยเราก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปเพียงพอที่จะใช้ในประเทศ และยังสามารถที่จะส่งออกไปขายให้กับบางประเทศด้วย ทำไมไทยเราจึงไม่คิดอ่านกำหนดราคาน้ำมันเป็นของตัวเอง โดยสภาพความเป็นจริงทางด้านต้นทุนการผลิตและตามกลไกของตลาดในบ้านเรา
มีการเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการอันอาจเนื่องมาจากเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ว่ากันว่า น้ำมันสำเร็จรูปที่เป็นผลิตผลจากการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในเมืองไทยนั้น ไทยเราซื้อน้ำมันดิบมาจากประเทศในตะวันออกกลางทั้งนั้น ไม่ได้ซื้อมาจากสหรัฐ ฯ หรือสิงคโปร์ และราคาน้ำมันดิบที่ซื้อมาจากแหล่งตะวันออกกลางนั้นมีราคาเพียงแค่บาร์เรลละประมาณ 37 ดอลลาร์เท่านั้น
ระหว่างราคาที่ซื้อมาจริงกับราคาที่อ้างอิงที่โน่นที่นี่มันต่างกันเกือบตั้งบาร์เรลละ 10 ดอลลาร์
ก็แล้วทำไมราคาน้ำมันในบ้านเราถึงต้องแพงถึงขนาดนี้
ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมและสมควรเอาเสียเลย นอกจากจะมีเจตนาแอบแฝงเป็นอย่างอื่นที่ไม่พึงประสงค์ที่จะให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ความเป็นจริง
กำหนดราคาขึ้นมาให้เสมือนเป็นเงาของปีศาจหลอกหลอนผู้คน และจากนั้นก็ฉกฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแยบยลกันอย่างสบายใจ
เป็นกรรมของผู้คนที่จะต้องยอมรับกันโดยปราศจากข้อโต้แย้งอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสร้างเงาปีศาจขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ก็สร้างภาพกันต่ออย่างสืบเนื่องเพื่อให้เกิดความสมจริงสมจังบนพื้นฐานที่จะต้องยอมรับกันว่า น้ำมันแพงจนต้องมีมาตรการต่างๆ ออกมาบรรเทาความเดือดร้อนกันยกใหญ่
มาตรการแรก มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่กับรถยนต์ที่จำหน่ายภายในประเทศ
ลดภาษีให้กับรถยนต์ขนาดเล็กที่เข้าเกณฑ์ใช้น้ำมันไม่สิ้นเปลือง และเพิ่มภาษีในรถขนาดใหญ่ที่สิ้นเปลืองการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ประหยัดเชื้อเพลิงกันมากขึ้น เพราะรถเหล่านี้จะมีราคาถูกลงกว่าเดิมอีกหลายหมื่นบาท ในขณะเดียวกันการใช้รถขนาดใหญ่สิ้นเปลืองน้ำมันก็จะมีปริมาณลดลงเพราะราคาแพงขึ้นจากเดิม
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อมีการหันมาซื้อรถขนาดเล็กกันมากขึ้นอย่างนี้ จะเข้าเป้าการประหยัดน้ำมันได้อย่างไร รถมากก็ต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผลที่จะไดัรับในภาพรวมน่าจะอยู่ที่เป็นการเกื้อหนุนต่อวงการอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์มากกว่า
มาอีกกับมาตรการการประหยัดเชื้อเพลิงจากการใช้ไฟฟ้า ให้สถานประกอบการค้าใหญ่ๆ ประเภทดิสเคานท์สโตร์ ซูเพอร์มาร์เกท และร้านสะดวกซื้อ ให้ใช้เวลาในการเปิดบริการน้อยลงกว่าเดิมอีกวันละชั่วโมงสองชั่วโมง และก็จะตามมาอีกด้วยการปิดไฟป้ายโฆษณา และตามสถานที่ต่างๆ และรวมทั้งการที่จะให้สถานีบริการน้ำมันต่างๆ เปิดบริการในเวลาที่กำหนด
ใช้ไฟน้อยลง จะช่วยให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิง น้ำมันในการผลิตกระแสไฟฟ้า
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันจะตรงเป้าได้อีกมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าในบ้านเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วกว่า 80 % เป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงการผลิต เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังน้ำจากเขื่อน ใช้พลังเชื้อเพลิงจากแกสธรรมชาติและใช้เชื้อเพลิงถ่านหินกันทั้งนั้น
และก็ตามมาถึงปัญหาความสิ้นเปลืองน้ำมันในระบบจราจรอีก ปัญหาการติดขัดทางการจราจรเป็นต้นเหตุของความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตัวจริงเสียงจริง
มีการออกความคิดกันว่า ควรจะต้องมีการลดปริมาณการใช้รถยนต์ของผู้คนลง ด้วยการเรียกเก็บภาษีการใช้รถเพิ่มขึ้น การเพิ่มค่าจอดรถในสถานจอดรถต่างๆ การเก็บเงินค่าใช้รถยนต์ในถนนบางสาย และรวมทั้งหาทางให้เกิดการลดปริมาณการซื้อรถยนต์มาใช้ ด้วยการสร้างความยากลำบากในการซื้อรถมากขึ้น เป็นต้นว่า จะซื้อรถใหม่ต้องเอารถเก่ามายุบเลิกใช้ หรือจะซื้อได้ก็ต่อเมื่อแสดงให้เห็นว่ามีสถานที่จอดรถเป็นของตัวเองอย่างพอเพียง
ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่า คิดอ่านในแนวนี้กันได้อย่างไร ในเมื่อมันค้านกับเจตนารมณ์ที่ปรากฏขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ ลดภาษีสรรพสามิตให้รถยนต์มีราคาถูกลง ผู้คนจะได้ซื้อหารถมาใช้กันมากขึ้น
บ้านเมืองเราทุกวันนี้ มันกำลังเข้าตำรายิ่งเกายิ่งคัน เกาไม่ถูกที่ถูกทางและก็คันยุกคันยิกไปทั้งตัวแล้วด้วย
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52231