ร่มไม้ชายศาล
อย่าให้รถไปอยู่โรงพัก
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐต่อกรณีรถเก๋งชนกัน ตกลงเรื่องค่าเสียหายได้ เข้าใจว่าไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย แต่รถที่เกิดเหตุตำรวจบ้านเรายึดไว้ดูเล่นก่อน เจ้าของตายใจ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
ที่ไหนได้ อีกวันสองวันกลับมาจะเอารถเข้าโรงซ่อม ปรากฏว่ามีมือไม่ดี ใช้รถยกมาขนไปหายเข้ากลีบเมฆ ขณะที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องเด้งเชือกฉากหลบจ้าละหวั่น ไม่มีใครรับผิดชอบ อย่างมากแนะให้ไปแจ้งความรถหาย เจ้าตัวเลยหันไปร้องทุกข์ต่อหนังสือพิมพ์
อ่านข่าวนี้แล้วนึกภาพเจ้าของรถโคตรซวย คงมีสีหน้าท่าทางดูไม่จืด ตื่นเต้นตกใจยิ่งกว่าตอนรถชนกัน และซีดเซียวสิ้นหวังพอๆ กับคนไทยเจอน้ำมันแพงในยุคนี้ สุดท้ายคงเศร้ายิ่งกว่าดูหนังชีวิตจากเมืองจีน ท้ายสุดคงชังขี้หน้าโกรธ "ตำรวจ" ไปจนตาย ฐานปัดความรับผิดชอบอย่างหน้าตาเฉย
ผมอยากจะบอกพ่อแม่พี่น้องคนไทยทั้งหลาย เจ้าของรถทั้งหลายว่า สิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นกับท่านเลยในชีวิตนี้อย่างหนึ่ง คือ
"รถโดนยึดไปไว้ที่โรงพัก"
เพราะรถซึ่งมีราคาโคตรแพงในบ้านเรา ซื้อหามาได้แต่ละคันเลือดตากระเด็น (ยกเว้นนักการเมือง พ่อค้ายาบ้า เขาซื้อง่ายดายไม่ยากเย็น) ถ้าเมื่อไหร่ต้องไปจอดแอ้งแม้งที่โรงพัก ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ดีในฐานะ "ของกลาง"
"ความเสี่ยง" เกิดขึ้นกับรถของท่านอย่างเห็นๆ รถซึ่งมีราคาค่างวด กลายเป็นของไร้ค่าไปทันที มิได้มีมาตรการดูแลรักษาใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ตากแดดตากฝนตามบุญตามกรรมแทบทั้งนั้น
รถอยู่ที่โรงพักใกล้ชิดกับคุณตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่จับโจรผู้ร้ายก็จริง แต่มิได้มีประกันใดๆ เลยว่า จะไม่โดนโจรกรรมทุกรูปแบบ นอกเหนือจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นจากการทิ้งขว้าง ยาวนานเท่าไรยิ่งเจ๊งเท่านั้น
การที่ผมบอกกล่าวมาฉะนี้ เพื่อสะกิดเตือนให้คนไทยซึ่งส่วนใหญ่หลงไหลยอมเป็นทาสรถยิ่งกว่าชนชาติอื่นๆ ยอมลำบากตรากตรำทุกอย่างเพื่อให้ได้รถมา ซื้อรถทุกชนิดทุกยี่ห้อที่ต่างชาตินำมาขาย ให้หมั่นเตือนตนเอง ให้ระมัดระวังในการใช้รถ อย่าได้เพลี่ยงพล้ำ เกิดอะไรขึ้นมา แล้วต้องทิ้งรถแสนรักไว้ที่ "โรงพัก" เป็นเด็ดขาด
โอกาสที่ท่านจะมีสภาพเช่นเดียวกับเจ้าของรถที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ทำให้ท่านเซ็งชีวิต เบื่อโลก เบื่อประเทศไทย ชนิดที่ยากจะลืมไปอีกนานเท่านาน ครั้นจะฟ้องร้องตำรวจอาจไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าเขารับรถไว้อะไรประมาณนั้น หรือคร้านจะตอแยกับเขา
ส่วนจะทำอย่างไรให้รถและสุขภาพจิตของท่านปลอดภัย น่าจะรู้ดีกันทุกคน คงไม่ต้องบอกกล่าว เพียงแต่อย่าเผลอ อย่าลืมตัว อย่าขาดสติก็แล้วกัน ขอให้ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้โชคดีนะขอรับ
สำหรับคดีความงวดนี้ขอนำเสนอเรื่องของหน่วยราชการแห่งหนึ่งพยายามเล่นชิ่ง ดีดตัวให้พ้นความรับผิดต่อชาวบ้านที่ขี่รถสองล้อติดเครื่องไปปะทะกับรถยนต์ของทางการที่ขับพรวดพราดตัดหน้า โดยอ้างว่า นอกเวลาราชการแล้วล่ะนะ คนขับเขาเอารถไปซื้อยาต่างหาก จึงไม่ต้องรับผิดชอบ รับกรรมไปเองก็แล้วกันนะครับ
ผลเป็นอย่างไร ตามไปดูลีลาการตัดสินของศาลได้เลย ณ บัดนี้เทอญ
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นายสติ" ถึงกับสิ้นสติ เมื่อขี่รถจักรยานยนต์ไปตามปกติบนถนนเส้นหนึ่ง จู่ๆ รถกระบะซึ่งมี "นายหัวหน้า" ขับพรวดพราดออกจากซอยตัดหน้าอย่างกะทันหัน สุดปัญญาที่ นายสติ จะเบรคหรือหลบได้ทัน รถจึงโดนกัน
เลขที่ออกคือ รถมอเตอร์ไซค์พังเสียหายตามสมควร ขณะที่ นายสติ หมดสติเพราะร่างกระเด็นกระดอนจากรถไปตามเรื่อง ยังดีที่ไม่นอคพื้นจนตาย แต่สิ้นสติเพราะแรงกระทบกระเทือน และขาซ้ายหัก ต่อแล้วดามแล้วเส้นประสาทขาที่หักชำรุดเสียหาย ทุพพลภาพ ทั้งๆ ที่ยังหนุ่มแน่น อายุตอนนั้นแค่ 20 เอง
รถกระบะคันที่ นายหัวหน้า แต่มีฐานะเป็นลูกน้องขับขี่ เป็นของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ไม่ใช่รถของชาวบ้าน ฝ่าย นายสติ อุ่นใจ คิดว่าจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายโดยง่าย ผิดถนัด ตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายรถยนต์อ้างว่าเรียกร้องมากเกินไป
ทนายจึงโชคดีมีงานทำ ขณะที่ศาลก็เมื่อยมีงานประดังเข้ามา เมื่อ นายสติ คนเจ็บและพ่อของ นายสติ ซึ่งเป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ ร่วมกันฟ้องร้อง นายหัวหน้า กับหน่วยงานราชการเจ้าของรถ เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2
ในคำฟ้องค่อนข้างเก๋ไก๋ นายสติ บรรยายความเดือดร้อนที่ได้รับ แล้วเรียกร้องค่าทุพพลภาพ 1 แสนบาท ค่าที่เสียความสามารถในการทำงานหารายได้เยี่ยงคนปกติเดือนละ 2 พันบาทเป็นเวลา 40 ปีนับจากนี้ไปถึงอายุครบ 60 ปี คำนวณแล้วเกือบ 1 ล้านบาท ขอคิดเอาแค่ 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย
พ่อของ นายสติ ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายแทน นายสติ ผู้เป็นลูกชายเกือบ 1.5 แสนบาท และค่าซ่อมรถ 5 พันบาท ค่ารถเสื่อมสภาพอีก 8 พันบาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยพากันสู้คดี นายหัวหน้า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่า เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ 2 จริง แต่ไม่ได้ขับรถประมาท ส่วนจำเลยที่ 2 ปัดความรับผิด บอกว่านายหัวหน้าขับรถไปเกิดเรื่องนอกเวลาราชการ เพื่อไปซื้อยา ไม่ได้เกี่ยวกับทางราชการ จึงนอกเหนือจากทางการที่จ้าง นายจ้างไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย ค่าเสียหายต่างๆ เรียกร้องมามากเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฝ่ายรถกระบะประมาทจริง นายหัวหน้า ขับไปปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างจริง จึงตัดสินให้จำเลยร่วมกันจ่ายค่าเสียหายทางร่างกายแก่ นายสติ เพียง 75,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เข้าใจว่าศาลเห็นสังขารของ นายสติ แล้ว ไม่ถึงกับทุพพลภาพร้ายแรง จึงให้แค่นั้น ส่วนพ่อของ นายสติ ได้ค่ารักษาและค่ารถที่เสียหายไป 3 หมื่นกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย เท่านั้นเอง เข้าใจว่านำสืบค่ารักษาพยาบาลและค่ารถเสียหายได้ไม่ถึงตามที่ฟ้อง
ทั้งโจทก์ ทั้งจำเลยพากันยื่นอุทธรณ์เพื่อให้ศาลตัดสินตามที่ตนพอใจ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วยังเห็นว่า นายสติ และหน่วยงานราชการเจ้าของรถต้องร่วมกันรับผิด แต่ตัดสินให้ฝ่ายโจทก์คือ นายสติ และบิดาได้เงินเพิ่มอีกตามสมควร คือ นายสติ ได้ค่าเสียหาย 1.5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย บิดา นายสติ ได้ค่าเสียหายเกือบ 7 หมื่นบาท พร้อมดอกเบี้ย ตีแล้วได้เพิ่มอีกเท่าตัวจากที่ศาลชั้นต้นตัดสินให้น้อยนิดเกินไป
ฝ่ายโจทก์คือ นายสติ และบิดาอาจกินลูกท้อหรือไม่คงพอใจที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมาบ้าง จึงไม่ติดใจอะไรอีก ขณะที่จำเลยพากันเล่นเกมยาวด้วยการยื่นฎีกา อ้างว่าไม่ได้ประมาท หน่วยราชการไม่ต้องรับผิดชอบเพราะ นายหัวหน้า ขับรถนอกเวลางานเพื่อไปซื้อยาให้พรรคพวก ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้จนเมื่อยขบเล็กน้อย แล้วชี้ขาดออกมาว่า
เรื่องประมาทหรือไม่ฝ่ายรถยนต์เถียงไม่ขึ้นหรอก เพราะขับตัดหน้ารถจักรยานยนต์อย่างเห็นๆ อย่ามาเถียงซะให้ยาก
ข้อที่หน่วยราชการเจ้าของรถพยายามเด้งเชือกให้พ้นความรับผิด อ้างว่า นายหัวหน้า ซึ่งเป็นลูกจ้างและลูกน้อง ขับรถไปเกิดเหตุนอกเวลางาน และไปซื้อยาให้พรรคพวก ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่การงานนั้น
ศาลฎีกาแทงว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏหัวหน้าตัวจริงในหน่วยงานสั่งให้ นายหัวหน้า ผู้เป็นลูกน้องขับรถไปเบิกน้ำมันเพื่อใช้ในโครงการ แม้ นายหัวหน้า ทำผิดระเบียบ ขับรถออกไปข้างนอกเพื่อซื้อยาให้พรรคพวก ขัดต่อระเบียบของหน่วยงาน และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการปี 2523 แต่หน่วยราชการก็เด้งเชือกไม่พ้น เพราะได้ความว่า นายหัวหน้ายังไม่ได้ขับรถกลับเข้าที่ทำการหรือสำนักงาน ถือว่าอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานในทางการ หน่วยงานซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ต้องร่วมวงรับผิดชอบด้วย
ศาลอุทธรณ์ตัดสินถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เมื่อยพอสมควรกว่าโจทก์จะตีเข่าจำเลยสำเร็จ ต้องมีข้อมูลตามสมควรว่า คนขับรถของทางการขับรถไปทำอะไร ยังไง จุดสำคัญคือการขับรถไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และออกจะหวาดเสียวเมื่อทางการค่อนข้างหัวหมอ อ้างว่าอยู่นอกเวลางานและไปซื้อยาให้พรรคพวก ไม่เกี่ยวกับการงานในหน้าที่
เคราะห์ดีที่ศาลเห็นว่า ขณะนั้นรถของทางราชการยังไม่ได้เสร็จธุระยังไม่ได้กลับเข้าที่ทำการ ถ้าได้ความว่ารถยนต์เสร็จภารกิจกลับที่ตั้งของหน่วยงานแล้ว นายหัวหน้า เอาไปซื้อยาให้พรรคพวกเอง ฝ่ายคนเจ็บหรือโจทก์ก็เซ็ง เพราะลอคคอเอาเงินจากทางการไม่สำเร็จ
แง่มุมในทางคดีก็งี้แหละครับ จุดแพ้จุดชนะบางทีมีแค่นิดเดียว ซึ่งคนนอกวงการอาจไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเป็นจุดสลบ ฟ้องแล้วอาจสมหวังหรืออาจได้สตางค์
แฮะ แฮะ สมหวังหมายถึงแห้ว ไม่ได้สตางค์นะเอ้อ คนสุพรรณอ่านแล้วยกมะเหงกใส่ผมชัวร์
"ตูอุตส่าห์เปลี่ยนชื่อแห้วเป็นสมหวัง พวกสูยังทะลึ่งแปลคำว่าสมหวังเป็นผิดหวังอีกจนได้"
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52224