ขอบถนน
หงส์แดง
เมืองไทยวันนี้มีทั้งข่าวดี และข่าวร้ายเกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน
ข่าวร้ายก็คือ ราคาน้ำมันที่รถยนต์ในเมืองไทยนับเป็นล้านๆ คัน ต้องใช้บริโภคกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันขยับราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบทั่วโลกสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันเอาไว้ไม่ให้สูงจนเกินไป โดยใช้กองทุนน้ำมันสำรองที่มีอยู่เข้าไปแซกแซงพยุงราคาไว้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ใช้วิธีการนี้อีกต่อไปไม่ไหวเพราะเหลือที่จะแบกภาระต่อไปได้ จำเป็นจะต้องปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัว ราคาที่ควรจะเป็นจริงเท่าไรก็ปล่อยให้เป็นจริงตามนั้น
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ต่อไปราคาน้ำมันอาจจะขึ้นสูงเกินกว่าลิตรละ 20 บาทสำหรับน้ำมันเบนซิน ส่วนน้ำมันดีเซลนั้นยังไงๆ รัฐบาลก็ยังจะต้องหาทางกดราคาเอาไว้ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะถ้าน้ำมันดีเซลราคาสูงขึ้นกระฉูดอย่างน้ำมันเบนซิน จะส่งผลกระทบให้เกิดขึ้นกับอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายก่ายกองซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและวุ่นวายในมุมกว้าง ที่ไม่อาจจะปล่อยให้สภาวะอย่างนั้นเกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเราซึ่งกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว และกำลังดีวันดีคืนอย่างเด็ดขาด
น้ำมันเบนซินแพงอย่างไร เป็นเรื่องของผู้ใช้รถใช้น้ำมันเบนซิน ก็คือข่าวที่นักนิยมกีฬาฟุตบอลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นความนิยมชื่นชอบในเชิงกีฬา หรือในเชิงการพนันฟุตบอล ต่างก็ตื่นเต้นตีปีกกันยกใหญ่ แม้แต่ภาครัฐบาลเองก็เถอะให้ความสำคัญกับข่าวนี้ยิ่งกว่าเรื่องของน้ำมันเสียอีกด้วยซ้ำไป
ประเทศไทยจะเข้าไปเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลดังระดับโลก ด้วยการเข้าไปซื้อทีมฟุตบอล "ลิเวอร์พูล" อันเป็นทีมฟุตบอลชั้นพรีเมียร์ลีคของอังกฤษ
ซึ่งโดยความเป็นจริงที่ไม่ค่อยจะมีผู้คนพยายามทำความเข้าใจมากนัก เป็นเพียงการที่จะเข้าไปซื้อหุ้นของสโมสรทีม "ลิเวอร์พูล" ในอัตราส่วนเพียงแค่ 30 % เท่านั้น ไม่มีส่วนมีสิทธิ์ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแต่อย่างใด อย่างดีก็เป็นเพียงแค่จะเป็นได้แค่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสโมสรนี้รายหนึ่งเท่านั้น คนที่ถือหุ้นใหญ่กว่านี้ก็ยังมีและยังมีฐานะเป็นเจ้าของทีมอย่างแท้จริงด้วย เท่ากับว่า "ทีมลิเวอร์พูล" ยังเป็นทีมของคนอังกฤษอยู่ ไม่ได้ขายหรือถ่ายโอนความเป็นเจ้าของให้กับประเทศไทยแต่อย่างใด
ทีมลิเวอร์พูลมีสัญลักษณ์ของทีมเป็นนกในจินตนาการชนิดหนึ่งเรียกกันว่าเป็น "นกลิเวอร์" แต่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "ทีมหงส์แดง"
ฟุตบอลอังกฤษเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ของภาคเอกชนเต็มตัว รัฐไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงทางด้านรูปธรรม นอกจากจะได้ทางด้านนามธรรมเท่านั้น
การที่ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับทีมฟุตบอล "ลิเวอร์พูล" ด้วยการเข้าไปซื้อหุ้นสโมสรนั้น เดิมทีก็เข้าใจกันว่า ภาคเอกชนของไทยซึ่งก็คือ พตท. ดร. ทักษิน ชินวัตร จะใช้เงินส่วนตัวเข้าไปซื้อหุ้น เพราะอยู่ในฐานะที่จะทำได้สบายๆ อยู่แล้วกับฐานะความร่ำรวยอย่างล้นเหลือในระดับมีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านบาทอย่างที่รู้ๆ กันอยู่
ถ้าเป็นอย่างนี้ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศคงได้ไชโยโห่ร้องเชียร์กันสนั่นเมืองแน่ๆ
แต่เอาเข้าจริงกลับตาลปัตรเสียแล้ว ในเมื่อ พตท. ดร.ทักษิน ในฐานะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันของไทยออกมาพูดแสดงท่าทีให้ปรากฏว่า ไม่ได้คิดที่จะเอาเงินของตัวเองจำนวน 4,600 ล้าน บาทไปซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" แต่อย่างใด แต่บอกว่าจะไม่เอาเงินภาษีอากรของประชาชนคนไทยทั้งประเทศไปซื้อหุ้นด้วย บอกเป็นนัยว่า จะให้เป็นเรื่องของภาคเอกชน ไปดำเนินการกันเอง
ก็เป็นเรื่องที่สร้างความมึนงง และฉงนฉงายให้เกิดเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีก
ไม่ใช่การใช้เงินส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีซื้อหุ้น และก็ไม่ใช่ใช้เงินหลวง หรือเงินรัฐบาล และหรือเงินภาษีอากรของประชาชนมาซื้อหุ้น
แต่พฤติกรรม และขั้นตอนต่างๆ ในการที่จะเข้าไปซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" มันออกจะชอบกลอยู่
เป็นที่เปิดเผยว่า ในการเจรจาซื้อหุ้นในครั้งนี้ มีการมอบหมายให้รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นตัวแทนจากประเทศไทย (รัฐบาลไทย ?) ไปเจรจาถึงเมืองอังกฤษหลายครั้งหลายหน ใช้คนของหลวง ค่าใช้จ่ายของหลวงทั้งนั้น
เปิดทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ และเจรจาเพื่อการซื้อหุ้นกับตัวแทนจากสโมสรลิเวอร์พูลอย่างออกหน้าออกตา ค่าใช้จ่ายต่างๆ จากการรับรองตัวแทนของสโมสร "ลิเวอร์พูล" เป็นค่าใช้จ่ายจากงบประมาณของหลวง หรือของส่วนตัวนายกรัฐมนตรีหรือของใครบอกให้รู้กันหน่อยได้ไหม ?
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี มีการตกลงกันว่า เงินจำนวน 4,600 ล้านบาท อันเป็นมูลค่าหุ้นของสโมสร "ลิเวอร์พูล" นี้ จะให้กองสลากกินแบ่งอันเป็นหน่วยงานของรัฐออกสลากพิเศษเพื่อนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อหุ้น และนอกจากนั้นจะตั้งเป็นบริษัทมหาชนโดยมีการกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นผู้ดำเนินกิจการเข้าถือหุ้น "ลิเวอร์พูล" และดูแลผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ต่อไป
น่าจะต้องมีคำถามต่อไปอีกว่า กองสลากกินแบ่งนี้เป็นกิจการของรัฐ รายได้หรือผลประโยชน์ที่กองสลาก ฯ ได้มา เป็นรายได้ เป็นเงินของรัฐ หรือเงินหลวงหรือไม่ ?
การที่จะให้กองสลาก ฯ ออกสลากพิเศษเพื่อหาเงินไปซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" มิเป็นการนำเงินหลวงไปลงทุนธุรกิจเอกชนดอกหรือ ?
ถ้าตอบว่าไม่ใช่ เงินกองสลาก ฯ ไม่ถือว่าเป็นรายได้ของรัฐ แล้วเป็นรายได้ของใคร ?
ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อไปใครอยากมีรายได้ ก็ให้กองสลาก ฯ ออกสลากพิเศษให้ก็สิ้นเรื่อง หรือว่าทำกันอย่างนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ขอบถนน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52130