โค้งอันตราย
มาตรฐานใหม่
ชุ่มฟ้าฉ่ำฝนกันดีอยู่นะครับ ท่ามกลางสภาพอากาศ ร้อน ร้อนมาก ร้อนเยอะ ฝน หมุนเวียนกันจนงงไปหมด ก็พยายามรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ดูยอดขายเกินหกแสนคันก่อนแล้วกัน ส่วนใครที่เขาบอกว่าขายได้เกินสองแสนคันแล้ว ก็พยายามเชื่อเขาหน่อย คนเราจะทำอะไรก็ต้องมีหลักเกณฑ์กันทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่านี่เป็นเกณฑ์ของข้าพเจ้านะ มองหาคำจำกัดความกันให้ดีก็แล้วกันว่าข้าพเจ้าตั้งเกณฑ์เอาไว้ตรงไหน
ส่วนเกณฑ์หนึ่งปี แสนสองหมื่นคันน่ะ พอเชื่อได้
แต่เกณฑ์ที่ว่ายอดขายรถปีนี้จะขึ้นถึงหกแสนคัน ชักเริ่มเห็นจางลงมาหน่อยแล้วนะครับเพราะค่าน้ำมันเบนซิน ที่เล็งกันว่าจะปล่อยให้ลอยตัว ซึ่งถ้าลอยตัวจริงมีหวังราคาเกินลิตรละยี่สิบแน่นอน
หรือคิดอีกแง่ ในด้านคนขายรถ ก็ต้องยุยงลูกค้าว่าใช้รถกระบะดีกว่าพี่ เพราะประหยัดน้ำมันกว่าแล้วเดี๋ยวนี้รถกระบะก็ไม่กระโดกกระเดก นั่งนิ่มได้พอควรแล้ว แถมหลวงท่านยังยอมตรึงราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้ให้พี่อีก
สบายกระเป๋ากว่ากันเยอะ
ส่วนผู้ที่ไม่สบายกระเป๋า ก็คือผู้ที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิท หรือสินเชื่อต่างๆประดามี ก็จะต้องเสียอัตราดอกเบี้ยสูงสุด เป็นอัตราร้อยละ 75 ต่อปี ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ สนส. (22) ว. 41/2547
และอัตราค่าธรรมเนียมชำระเงินล่าช้า คิดเป็นอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือเท่ากับร้อยละ 24 ต่อปี
แถมยังเตรียมเข้มงวดผู้ถือบัตรใหม่ ต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท และต้องชำระหนี้อย่างน้อย10 % ของเงินต้น
แต่บรรดาธนาคารเจ้าของบัตรเครดิทก็พากันออกมาประสานเสียงว่า จะไม่มีผลกระทบกับลูกค้าที่ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขต่างๆ และชำระเงินตรงเวลา
ดูๆ แล้ว คนที่มีสินเชื่อ มีบัตรเครดิทนี่ ชักเหมือนกู้เงินจากอาบังโพกผ้ายังไงก็ไม่รู้
อีกอย่างคนเขียนระเบียบที่อยู่แถวบางขุนพรหมน่ะ เขียนเพื่อเอาใจใครมากเกินไปหรือเปล่าไม่ทราบหรือว่าถูกบังคับให้เขียนอย่างนั้น หรือเพราะกลัวฟองสบู่จะแตกเร็วไปหน่อย เนื่องจากเงินมันกระจายลงไปจนถึงรากหญ้าเยอะพอควร และเริ่มมีหนี้เสียแล้ว
นั่นมันเรื่องเงินๆ ทองๆ ของบาดใจนะครับ แต่มีเยอะก็ดีเหมือนกันนะครับ
ในรอบเดือนนี้ ข่าวคราวที่เงียบๆ ในวงการรถยนต์เรื่องแรก เห็นจะได้แก่เรื่องการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
โดยเครื่องยนต์ดีเซลต้องเป็นไปตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 3196 มาตรฐานเฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ระดับที่ 6 และเครื่องยนต์เบนซิน เป็นไปตามประกาศ ฉบับที่ 3197 แต่คนในวงการเขาเรียกกันง่ายๆ ว่า ยูโร 3
มาตรฐานที่ว่านี้ จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดหกสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ก็ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะมีระยะเวลาให้ผู้ประกอบการ ได้เตรียมตัวในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ ซึ่งก็คงคุมเข้มกันจริงๆ ราวๆ เดือนตุลาคม ปีหน้า ที่คนในแวดวงเขาเตรียมการกันหมดแล้ว
มาตรฐานที่ว่านี้ จะมีผลอย่างไรกับผู้ใช้รถใช้ถนน นั่นเป็นคำถามแรกที่เกิดขึ้น เรื่องแรกง่ายที่สุดคือปีหน้า บรรดาผู้ประกอบการที่มีรถยนต์ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาดไม่เกิน 1,600 ซีซี ไว้จำหน่าย จะต้องปรับเครื่องยนต์ ให้ค่าไอเสียได้ตามมาตรฐาน
นั่นหมายความว่าต้นทุนย่อมเพิ่มขึ้นไปตามตัว
และเช่นเดียวกัน ผู้ประกอบการที่มีรถใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ก็ไล่กันตั้งแต่ 2,500 ขึ้นไปนี่แหละจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์เช่นกัน ต้นทุนย่อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ความหมายคือ ราคารถปลายปีหน้า จะเพิ่มสูงกว่าค่าเงินเฟ้อ เพราะค่าปรับปรุงเครื่องยนต์ก็เป็นตัวเลขที่เยอะพอควร แล้วคงไม่มีผู้ประกอบการไหน แบกเอาไว้บนบ่าแต่ผู้เดียว สมควรที่จะให้ผู้บริโภคแบกรับเป็นแน่แท้
เท่าที่เป็นข่าวกันมาล่วงหน้า ปีหน้า จะมีรถรุ่นที่ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์กันเป็นระนาว เพียงแต่รู้กันเฉพาะแวดวงภายในเท่านั้น ยังไม่ถึงหูผู้บริโภค ข่าวคราวก็เลยยังเงียบๆ กันอยู่
ที่เงียบอีกอย่างก็เพราะเรื่องยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็เลยยังไม่เป็นข่าว อันที่จริงพวกกระผมนี่ก็ขี้เกียจอ่านเหมือนกันนะครับ ประกาศอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะไปหมด คอยอ่านเอาจากพาดหัวหน้าหนึ่งดีกว่า เพราะพี่เขาจะสรุปมาให้หมด
เล่ามาให้ฟังนี่ ก็เพื่อให้รีบเก็บสตุ้งสตางค์เอาไว้ซื้อรถกันภายในปีหน้าให้ได้นะครับ เพราะเชื่อว่ารถราคาใหม่ กว่าจะยอมประกาศราคากันได้ คงไปเฉลิมฉลองเอาตอนมหกรรมยานยนต์หนหน้านั่นแหละ
อ้อ บรรดารถตกรุ่นรอบนี้ ราคาจะลดกันแบบฮวบฮาบ เพราะมาตรฐานค่าไอเสียมันล้าหลังแล้ว แต่อย่าลืมว่า ยังใช้ซิ่งได้อยู่นะครับ
เรื่องอย่างนี้ ลางเนื้อชอบลางยานะครับ เก็บเอามาเล่าให้ฟังเพื่อจะได้เตรียมตัดสินใจซื้อรถหรือเปลี่ยนรถกันให้ถูกช่วงเวลา
ถัดมาอีกเรื่อง หลังจากเหนื่อยกับการแปรรูปแล้ว ก็ได้เวลารณรงค์ โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ โดยมีโต้โผคือ กระทรวงพลังงาน กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และนครหลวง เริ่มกันตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงพฤษภาคม ปีหน้า
กติกาง่ายๆ คือ ถ้าบ้านไหนสามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองได้มากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 10 ของเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 20 ของหน่วยไฟฟ้าที่ลดได้
เป้าหมายของงานเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท บ้านอยู่อาศัย ประมาณ 14 ล้านครัวเรือนร่วมกันประหยัดไฟฟ้า ซึ่งประมาณการกันว่า จะประหยัดกันได้ทั้งสิ้น 3,014.36 ล้านหน่วย เป็นเงิน 9,370.01 ล้านบาท คิดเป็นครัวเรือนทั้งสิ้น 4,252,645 ครัวเรือน
โครงการนี้เคยทำกันมาหนหนึ่งแล้วเมื่อช่วงปี 2544-2545 ที่ได้ผลกันพอสมควร
สนใจรายละเอียดโครงการนี้ลองเข้าไปดูที่ www.eppo.go.th ได้นะครับ
ช่วยชาติกันหน่อยก็ดี อย่างน้อยก็ภูมิใจได้ว่า เราก็ช่วยประหยัดเพื่อชาติ แถมประหยัดเงินในกระเป๋าเราได้ด้วย ก็ดีทั้งสองทางนะครับ
แต่ศัพท์พวกผมเขาเรียกดีแบบ สองเด้ง ครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52113