รอบรู้เรื่องรถ
"ฟอร์มูลา" ทดสอบอุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมัน
สถานการณ์น้ำมันแพงทำให้ กระแสความต้องการ "อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง" ที่มีสถาบันวิจัยของทางการให้การรับรองความน่าเชื่อถือพุ่งสูงจนผลิตไม่ทัน เนื่องจากผู้บริโภคเข้าใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวจะช่วยประหยัดการบริโภคน้ำมัน และเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ได้ตามข้อความโฆษณาในสื่อต่างๆ รวมถึงในเวบไซท์ของหน่วยงานแห่งนี้
สำหรับหลักการทำงานของอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน ผู้ผลิตอ้างว่า เพียงแค่จ่ายไฟขนาด 12 โวลท์ หรือ 24 โวลท์ (แล้วแต่ชนิดของรถยนต์) เลี้ยงวงจรอีเลคทรอนิคส์ และติดตั้งสายไฟ เข้าไปบริเวณท่ออากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ อุปกรณ์ดังกล่าวจะผลิต อีเลคตรอน ออกมาทำปฏิกิริยากับอากาศ ทำให้เกิดกระบวนการแยกสารประกอบออกไซด์ในอากาศ และเพิ่มปริมาณออกซิเจนมากขึ้น เมื่อเครื่องยนต์ดูดอากาศที่ผ่านกระบวนการนี้เข้าไปเผาไหม้จะได้ประสิทธิภาพที่ดีดังต่อไปนี้
1. ได้กำลังมากขึ้น 5 %
2. เพิ่มอัตราเร่งได้ 10 %
3. ลดควันดำลง 40 %
4. ประหยัดน้ำมันลงในความเร็วที่เท่ากัน 15 %
5. เครื่องยนต์สะอาดขึ้น 25 %
6. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลง 25 %
7. ลดมลภาวะในอากาศและรักษาสิ่งแวดล้อม
8. รอบเครื่องยนต์ต่ำลง เครื่องเดินเรียบขึ้น
เมื่อเราได้เห็นข้อมูลแล้ว เกิดข้อสงสัยหลายประการ เช่น ผลการทดสอบโดยสถาบันวิจัยระดับชาติ ทำไมจึงเป็นตัวเลขกลมๆ ไม่มีจุดทศนิยม ค่าต่างๆ ล้วนหารด้วยเลข 5 ลงตัวทั้งหมด ราวกับการเขียนขึ้นลอยๆ รวมทั้งไม่มีการชี้แจงอย่างโปร่งใสว่า ตัวเลขที่อ้างได้มาจากการทดสอบโดยวิธีใด มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ? รวมทั้งในบางหัวข้อ เช่น เครื่องยนต์สะอาดขึ้น 25 % หรือประหยัดค่าใช่จ่ายในการบำรุงรักษา 25 % ได้ตัวเลขเหล่านี้มาได้อย่างไร ? เนื่องจากสิ่งเหล่านี้วัดค่ายากเพราะการทดสอบเต็มไปด้วยตัวแปรมากมาย ผู้ทดสอบรู้ได้อย่างไรว่าผลดีที่อ้างนี้ เกิดจากอุปกรณ์ดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ทดสอบควบคุมตัวแปรต่างๆ ด้วยวิธีการใด ? และการที่ผู้ผลิตอ้างว่าอุปกรณ์นี้ไม่สามารถใช้กับ โตโยตา วิชได้ เราสงสัยว่าแล้วทำไมจึงใช้งานได้ผลดีกับ โตโยตา แคมรี 2.0 เนื่องจากรถโตโนตา 2 รุ่นนี้ ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน รหัส 1 AZ-FE
และที่น่าสนใจคือ หากอุปกรณ์ไฟฟ้าง่ายๆ เช่นนี้ สามารถช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากตามคำกล่าวอ้างแล้ว เหตุใดบริษัทรถยนต์ทั่วโลกจึงไม่ติดตั้งอุปกรณ์นี้มาให้จากโรงงาน ตรงกันข้าม กลับต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้านบาทกว่าจะคิดค้นวิธีประหยัดน้ำมันให้แก่เครื่องยนต์ได้เพียงเล็กน้อย
ส่วนข้อดีเรื่องเพิ่มกำลังและประหยัดน้ำมันนั้น "ฟอร์มูลา" ตัดสินใจดำเนินการทดสอบ ค้นหาความจริง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประชาชนที่ติดตั้งเครื่องมือชนิดนี้ไปแล้ว หรือผู้ที่กำลังคิดจะติดตั้ง รวมทั้งผู้ที่สนใจติดตามข่าวคราวต่างๆ
การทดสอบของเราแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การทดสอบหาสมรรถนะเครื่องยนต์ ก่อนและหลังใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน โดยใช้แท่นวัดกำลังเครื่องยนต์ หรือ ไดนาโม มิเตอร์ (DYNAMOMETER) ซึ่งมีหลักการทำงานโดยเครื่องจะวัดแรงบิดของเครื่องยนต์แล้วคูณด้วยความเร็วที่เครื่องยนต์หมุน จะได้ค่ากำลัง (แรงม้า) ของเครื่องยนต์ ซึ่งผลการคำนวณสามารถตอบข้อสงสัยเรื่อง กำลังและแรงบิด ทั้งก่อนและหลังใส่อุปกรณ์ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงว่าเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ ? (ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่ากำลังเพิ่มขึ้นถึง 5 %)
เนื่องจากหลักสำคัญทางเทคนิคอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือหากอุปกรณ์ใด ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้จริงแล้ว เมื่อลิ้นคันเร่ง (ของเครื่องยนต์เบนซิน) เปิดเท่ากัน เครื่องยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ ดังกล่าวจะต้องให้แรงบิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเสมอ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะไม่สามารถช่วยอ้างอิงเป็นเปอร์เซนต์ที่แม่นยำ แต่อย่างน้อยก็ช่วยตัดสินได้ว่า อุปกรณ์นั้นช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้จริงหรือไม่ ? และเท่าที่ทดสอบมาทั้งหมด อุปกรณ์ตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มกำลังได้ถึง 5 % ตามที่อ้างไว้เลยแม้แต่ครั้งเดียวรวมทั้งแรงบิดก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ในส่วนที่ 2 เป็นการวัดอัตราความสิ้นเปลืองก่อนและหลังใส่อุปกรณ์ ช่วยประหยัดน้ำมัน โดยการอุปกรณ์พิเศษที่สามารถวัดอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโดยละเอียดมาวัดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในขณะที่รถวิ่งที่ระดับความเร็วต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก่อนและหลังติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ว่าจะประหยัดได้ถึง 15 % รวมทั้งเพิ่มอัตราเร่งถึง 10 % ตามที่อ้างไว้หรือไม่ ?
"ฟอร์มูลา" ฉบับนี้จะเสนอผลการทดสอบเฉพาะส่วนแรกก่อน ส่วนที่ 2 จะเสนอในโอกาสต่อไป
ผลการทดสอบ
รถยนต์ที่ใช้ทดสอบ มีทั้งเครื่อง เบนซิน และ ดีเซล เนื่องจากผู้ผลิตแจ้งว่าสามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์ทั้ง 2 แบบ ซึ่งผลการทดสอบหากำลัง แรงบิด ก่อนและหลังใส่อุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมัน ได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้
รถยนต์ นิสสัน เอนวี วิงโรด 1.6 ลิตร (เบนซิน)
ทดสอบครั้งที่ 1
ก่อนใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นทึบสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นทึบสีเขียวคือค่าของ แรงบิด ก่อนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 86/5,037
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.4 / 3,427
หลังใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นประสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นประสีเขียวคือค่าของแรงบิด หลังติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 86/5,448
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.4/3,041
สรุปการทดสอบครั้งที่ 1
หลังใส่อุปกรณ์ กำลังไม่เพิ่มขึ้นเลย (ผู้ผลิตอ้างว่า จะเพิ่มขึ้น 5 %) โดยที่แรงบิดก็ไม่เพิ่มขึ้น
ทดสอบครั้งที่ 2
ก่อนใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นทึบสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นทึบสีเขียวคือค่าของแรงบิด ก่อนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 86/5,532
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.5/2,978
หลังใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นประสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นประสีเขียวคือค่าของแรงบิด หลังติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 86/5,448
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.5/2,967
สรุปการทดสอบครั้งที่ 2
หลังใส่อุปกรณ์ กำลังไม่เพิ่มขึ้นเลย (ผู้ผลิตอ้างว่าจะ เพิ่มขึ้น 5 %) ส่วนแรงบิดก็ไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
หมายเหตุ : การที่กำลังและแรงบิดมีค่าเท่าเดิมแต่รอบการทำงานของเครื่องยนต์แตกต่างกันเล็กน้อยนั้น เป็นความเบี่ยงเบนมาตรฐานในการทดสอบซึ่งเกิดจากตัวแปรหลายประการ เช่น อุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ อุณหภูมิและประสิทธิภาพน้ำมันเครื่อง ฯลฯ ซึ่งจะไม่มีผลทั้งด้านบวกและลบต่อการทดสอบในครั้งนี้แต่ประการใด เนื่องจากเราหาค่ากำลังและแรงบิดที่เครื่องยนต์ทำได้สูงสุดเท่านั้น
รถยนต์ มิตซูบิชิ สตราดา 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ (ดีเซล)
หมายเหตุ: รถมิตซูบิชิ สตราดา 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในการทดสอบครั้งแรก เส้นกราฟไม่สม่ำเสมอ คาดว่าเกิดจากน้ำมันเครื่องที่ใช้มานาน
เราจึงทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วทำการทดสอบใหม่อีกครั้ง ผลที่ได้มีดังนี้
ทดสอบครั้งที่1
ก่อนใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นทึบสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นทึบสีเขียวคือค่าของแรงบิด ก่อนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 60/3,748
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.6/1,791
หลังใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นประสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นประสีเขียวคือค่าของแรงบิด หลังติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 61/3,991
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.6/1,979
สรุปการทดสอบครั้งที่ 1
หลังใส่อุปกรณ์ กำลังเพิ่มขึ้นเพียง 1.7 % (คาดว่าเป็นเพราะน้ำมันเครื่องมีอุณหภูมิร้อนพอเหมาะต่อการทำงานของเครื่องยนต์มากกว่าครั้งแรกที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ และเมื่อทำการทดสอบในครั้งที่สอง กำลังและแรงบิดก่อนและหลังติดตั้งอุปกรณ์ก็มีค่าเท่ากัน) แต่ผู้ผลิตอ้างว่า กำลังจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 5 % ในขณะที่แรงบิดไม่เพิ่มขึ้นเลย
ทดสอบครั้งที่2
ก่อนใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นทึบสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นทึบสีเขียวคือค่าของแรงบิด ก่อนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 62/3,772
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.7/1,771
หลังใส่อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน
(เส้นประสีแดงคือค่าของกำลัง และเส้นประสีเขียวคือค่าของแรงบิด หลังติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน)
แรงม้า/รตน. 62/3,995
แรงบิด (กก.-ม.)/รตน. 14.7/1,834
สรุปการทดสอบครั้งที่ 2 หลังใส่อุปกรณ์
เมื่อเครื่องยนต์และน้ำมันเครื่องมีอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ทั้งกำลังและแรงบิดไม่เพิ่มขึ้นเลย ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่ากำลังจะเพิ่มขึ้น 5 %
สรุป
กราฟแสดงกำลัง และแรงบิดที่ได้จากการทดสอบ ก่อนและหลังใส่อุปกรณ์จับตัวอยู่ในแถบและย่านเดียวกัน แสดงว่าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเลย ส่วนปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของกราฟที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย ทั้งกำลัง และแรงบิด เกิดจากอุณหภูมิเครื่องยนต์และประสิทธิภาพการหล่อลื่นของน้ำมันเครื่องขณะทำการทดสอบ รวมถึงความคลาดเคลื่อนของโรลเลอร์ กับ ยางรถยนต์ ณ เวลานั้นซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อนที่น้อยมาก
ผลที่ได้จากการใช้ไดนาโมมิเตอร์ บอกถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของอุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง แต่เพื่อให้ละเอียดยิ่งขึ้นและยืนยันผลการทดสอบในครั้งนี้ รวมทั้งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เรากำลังจะทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์นี้โดยนำรถยนต์ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวมาติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่สามารถวัดอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำในขณะรถวิ่ง ที่ระดับความเร็วต่างๆ รวมทั้งวัดอัตราเร่งว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ ? แล้วนำผลมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับผลในครั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างแท้จริงและสรุปผลได้อย่างแน่นอนว่าอุปกรณ์นี้มีสรรพคุณดีจริงตามที่อ้าง หรือเป็นเพียง "ยาผีบอก" ของพ่อค้าหนังเร่ยุคใหม่เท่านั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป !
ขอขอบคุณ "เพาเวอร์ แลบ" สนับสนุนเครื่องมือ "ไดนาโมมิเตอร์"ในการทดสอบครั้งนี้
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52104