เล่นท้ายเล่ม
ผู้ชนะสิบทิศ
เมื่อ "ยาขอบ" เขียน "ยอดขุนพล" ลงหนังสือพิมพ์ "สุริยา" เป็นปีพุทธศักราช 2474 ตรงกับปีที่ผมเกิด พอดี ชื่อนิยาย "ยอดขุนพล" นั้นเป็นชื่อเดิมของชื่อที่เปลี่ยนไปคือ "ผู้ชนะสิบทิศ"
2 ปีต่อมา อันเป็นห้วงเวลาที่ผมยังจำความไม่ได้ โรงพิมพ์ศุภอักษร ซึ่งพิมพ์ฉับแกระอยู่ที่สี่แยกบ้าน หม้อ ริมคลองหลอด กระทรวงมหาดไทย ได้นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ออกจำหน่ายในราคาเล่มละ 1 บาท
เรื่อง "ยอดขุนพล" นี้" ยาขอบ เขียนคำนำไว้ "ข้าพเจ้าเขียนจากข้อความซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารพม่า ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ฯ หน้า 107 ระหว่างบรรทัดที่ 4 ถึง บรรทัดที่ 11"
แปลว่าเพียง 8 บรรทัดความ "ยาขอบ" ก็บรรเลงยาวไปถึง 7,224 บรรทัด และทำได้อย่างเป็นคลาสสิค อมตะไม่มีวันตายไปจากวงวรรณกรรมไทย
เพื่อท่านผู้อ่านคอลัมน์ของผมได้บรรลุความเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ "ผู้ชนะสิบทิศ" ผมขอถ่ายทอดความ 8 บรรทัดดังกล่าวไว้ ณ ตรงนี้
"ราชกุมาระกุมารีและจะเด็ดทั้ง 3 ก็เล่นหัวสนิทสนมเจริญวัยมาด้วยกันในพระราชวังเมืองตองอู จนรุ่นขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง พระราชเทวีทรงสังเกตเห็นอาการสนิทสนมกันอย่างไม่ชอบกล เหลือจะอภัยโทษได้ ในระหว่างพระราชบุตรีกับของจะเด็ดบุตรพระนมของพระราชกุมารมังตรา อันเป็นพระอนุชาต่างพระ
มารดาของพระราชธิดาองค์นั้น จึงกราบทูลฟ้องพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์กริ้ว พระมหาเถรขัติยาจารย์ขอพระราชทานโทษ จึงโปรดอภัยให้ แล้วตรัสให้ไปรับราชการเป็นเจ้าพนักงานผู้น้อยอยู่ในกรมวัง จะเด็ดพากเพียรพยายามเอาใจใส่ในราชการโดยจงรักภักดีอย่างแข็งแรงที่สุด จึงได้เลื่อนยศ
บรรดาศักดิ์ขึ้นโดยลำดับ จนได้เป็นนายทหารมีตำแหน่งแลยศสูง"
ทั้ง 8 บรรทัดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ คุณโชติ แพร่พันธุ์ หรือ "ยาขอบ" เขียนเรื่อง "ยอดขุนพล" หรือ"ผู้ชนะสิบทิศ"
คุณโชติ แพร่พันธุ์ มีเชื้อสายไปทางเจ้าเมืองแพร่มาแต่โบราณกาล เกิดเมื่อปีมะแม ตรงกับพุทธศักราช 2450 เมื่อเกิดนั้น พ่อและแม่แยกทางกันเดิน ชีวิตในตอนเด็กระหกระเหินเร่ร่อนเพราะ แม่จ้อย-คนสนิท ของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล-ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจาก เจ้าอินแปง หรือญาติคนใด ด้วยถือคติ
ไทยๆ ที่ว่า
"ลูกคนเดียว เลี้ยงได้"
ความจริงแล้ว เจ้าอินแปง ก็นับได้ว่าเป็นเยนตะละแมนผู้หนึ่ง ไม่ทิ้งขว้างลูกเมีย ลงมาพระนครคราวใดก็ได้พบกับลูกชายทุกครั้ง และแสดงความต้องการให้ เด็กชายโชติ ได้ขึ้นไปอยู่เมืองภาคเหนือด้วยกัน แต่ทว่า แม่จ้อย ไม่ยินยอม ครั้น เด็กชายโชติ ผู้รักการผจญภัยหลบหนีขึ้นไป แม่จ้อย ก็ขึ้นไปตามฉกกลับ
คืนมา
เมื่อตอนที่ เจ้าอินแปง เสียแก่ชีวิต ดช. โชติ อายุได้ 13 ปี แม้เหลือเพียงชื่อ มีแต่ร่างรอเผาที่เมรุปูนวัดสระเกศ แม่จ้อย ก็ยังดื้อเงียบไม่ยอมให้อโหสิกรรมแก่ผู้เสียชีวิต สำคัญที่สุดไม่อนุญาตให้ลูกชายวัย 13 ได้ไปเคารพศพพ่อเป็นวาระสุดท้ายด้วย
ความดื้อเงียบ และความเป็นเพชรทางใจของ แม่จ้อย ได้กำหนดอนาคตของลูกชายไว้เป็นสำคัญตาม แบบแผนของคนไทย คือ การสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แม่จ้อย เรียกลูกชายมาสาบานกับพระพุทธรูปในบ้าน คำสาบานนั้นมีความสำคัญว่า
"ชาตินี้จะยากแค้นแสนจนอย่างไร ก็จะไม่ไปขอทานจากพวกวงศาคณาญาติของ เจ้าอินแปง"
ความเป็นแม่ก็คือความเป็นเจ้าของเลือดก้อนหนึ่งในอก แม่จ้อย ยังเป็นแม่ตามสัญชาติมารดาคนไทยทั่วไป หน้าที่อันหนึ่งที่จะต้องทำก็คือให้ได้เล่าเรียน ขัดสนจนยากอย่างไรลูกชายต้องได้เรียนหนังสือ เหตุนี้ เมื่อ ดช. โชติ อายุ 6 ขวบ แม่จ้อย ก็พาไปฝากเข้าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์
ค่าเล่าเรียนในโรงเรียนเทพศิรินทร์ขณะนั้นตกเดือนละ 4 บาท เป็นภาระหนักจริงๆ ของคนที่เป็นแม่ แต่การที่พวกพี่ๆ อย่าง บุญชัย ณ ป้อมเพชร หรือ ผลิ ศรุตานนท์ ได้เป็นนักเรียนที่นี่ได้ทำให้ แม่จ้อย เกิดความสำนึกว่า ลูกชายคนเดียวของนางต้องไม่น้อยหน้าพี่
"เป็นลูกใคร ?" คนถามคือ ขุนจรัล ชวนะเทพ
คนที่ถูกถามคือ แม่จ้อย ถามว่า ดช. โชติ เป็นลูกผู้ใด แม่จ้อยก็ตอบคนหน้าดุไปว่า
"เป็นลูกเจ้าอินแปง"
ขุนจรัล ระลึกได้ทันทีว่า เจ้าอินแปงก็คือศิษย์เก่าคนหนึ่งของโรงเรียนวัดเทพ ฯ ดช. โชติ จึงได้เลขหมาย ประจำตัว 1119 และได้รับการศึกษาเบื้องปฐมแต่บัดนั้น
ระบบฝากลูกหลานเข้าเรียนหนังสือ น่าจะเป็นประเพณีแบบไทยที่ปฏิบัติกันมาช้านาน จนถึงในวันนี้
แม่จ้อย นั้น เป็นคนไม่มีอาชีพแน่นอน ไม่ได้ค้าขายแต่อย่างไร การจะหาเงินเดือนละ 4 บาทมาเป็นค่าเล่าเรียนจึงเป็นความลำบาก ต้องพึ่งพาดวงชะตาเพียงด้านเดียว รายได้ของ แม่จ้อย ที่สามารถเอามาเจียดแบ่งให้ลูกชายเรียนหนังสือได้ก็คือ รายได้จากการพนัน
ถ้าเป็นสมัยนี้ แม่จ้อย ก็คงเล่นบอล
แต่เป็นสมัยนั้น แม่จ้อย ก็เข้าโรงบ่อนเบี้ย ตั้งปณิธานว่าขอให้ได้เงินเข้ากระเป๋าวันละ 4 บาทเป็นพอ ไม่โลภมากกว่านั้น เวลาที่โรงบ่อนเปิดนั้น เปิดแต่เวลาหนึ่งโมงเช้าจนห้าทุ่ม มีบ่อนดังๆ 5 แห่งคือ บ่อนบางรัก/บ่อนหัวลำโพง/บ่อนเล่งบวยเอี๋ย/บ่อนสะพานเหล็ก และ บ่อนตลาดนางเลิ้ง
ชีวิตของ เด็กชายโชติ เร่ร่อนไปอีก จนกระทั่งเป็นหนุ่มอายุ 17 ปีเต็ม ครบกำหนดขึ้นทะเบียนทหาร ถึงตอนนั้น คุณโชติ ได้มาอาศัยอยู่กับ พระยาพิทักษ์ภูบาล ซึ่ง พระยาพิทักษ์ ฯ ก็จัดการเอา คุณโชติ ขึ้นทะเบียนโดยทันที
สมัยที่ คุณโชติ เรียนหนังสือโรงเรียนวัดเทพ ฯ นั้น คุณโชติ เล่าถึงครูคนหนึ่งในโรงเรียนว่า
"คุณครูผู้นี้ก็ดูเหมือนจะชังน้ำหน้าเจ้าลูกศิษย์คนนี้ (โชติ แพร่พันธุ์) เป็นอย่างสูงสุดในชีวิตครูของท่าน แต่ท่านเกลียดอย่างครู มิใช่อย่างศัตรูคู่แค้น ฉะนั้นต่อมาอีก 4-5 ปีท่านเจอะลูกศิษย์คนนี้ของท่านเดินต๊อกๆ อยู่ที่สี่แยก เอสเอบี ท่านก็กลับทักทายมันด้วยความปรานี ถามไถ่ถึงเรื่องงานการ พอทราบว่ายังแกว่งเพราะไม่มีงานชนิดหลักแหล่งทำ ท่านก็ถามว่า "เดี๋ยวนี้เลวอย่างแต่ก่อนหรือเปล่า" ซึ่งพอได้รับคำตอบ "ไม่ค่อยเลวแล้ว" ท่านก็พาทะโมนตัวเก่าของท่านเดินดุ่มไปที่ร้านขายหนังสือ และสรรพตำรากฎหมายชื่อ "พร้อมภัณฑ์" อยู่เลยสรรพพานิชไปหน่อย ซึ่งเดี๋ยวนี้เลิกไปแล้ว
"ครั้นแล้วโดยทั้งที่มิได้พูดจาให้รู้ตัวสักนิดว่าจะหางานให้ทำ แต่พอไปถึงท่านก็บอกกับ คุณพร้อม เจ้าของร้านพร้อมภัณฑ์ ถึงเรื่องขอฝากเด็กทำงานด้วยสักคนหนึ่ง ท่านแสดงคุณวุฒิของคนที่ท่านนำไปฝากว่า "ความประพฤติเลวอยู่สักหน่อย แต่ฉลาดดีนัก"
คุณพร้อม เจ้าของร้าน คือ พร้อม วีระสัมฤทธิ์ เดิมเป็นเพียงเด็กในร้านตัดผม ภายหลังออกมาตั้งร้านขายหนังสือ อุปกรณ์การเรียน ตำรากฎหมาย และพงศาวดารต่างๆ
และในยามนั้นเอง คุณพร้อมก็มีหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ชื่อ "สยามรีวิว" ออกจำหน่าย ฉบับละ 5 สตางค์ มี 30 หน้าออกทุกวันเสาร์
ชีวิตของ คุณโชติ เริ่มสัมผัสกลิ่นหมึกนับแต่นั้น ต่อมาอีกไม่นาน คุณโชติ ก็พลิกชีวิตจำเป็นต้องเป็นนักเขียนแทน "ฮิวเมอริสต์" ซึ่งเป็นนักเขียนตลก คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นผู้ให้สติแก่ คุณโชติ ว่า เขียนได้
"แกคุยให้คนหัวเราะได้ทั้งวัน ทำไมแกจะเขียนเรื่องตลกให้คนหัวเราะไม่ได้"
เมื่อเขียนได้ ก็ต้องมีนามปากกา คุณกุหลาบ ก็เล่าว่ามีนักเขียนตลกโลกคนหนึ่งชื่อ เจ ดับเบิลยู ยาคอบ จึงให้ คุณโชติ ใช้นามปากกาว่า "ยาขอบ" แต่บัดนั้น
และก็ "ยาขอบ" คนนี้แหละครับที่ขึ้นต้นเขียน "ผู้ชนะสิบทิศ" ไว้อย่างบรรเจิดว่า
"เบื้องนั้น พระพุทธกาลล่วงไปแล้ว 2,073 พรรษา เมงกะยินโย ตั้งตนเป็นมหากษัตริย์ ทรงพระนาม พระเจ้าสิริชัยสุระ ยกเศวตรฉัตรขึ้น ณ เมืองตองอู เรืองกฤษดานุภาพแผ่ไปทั่วดินแดน ถิ่นที่อยู่ ณ เวิ้งแม่น้ำอิระวดีอันชื่อว่าภุกามประเทศนั้น บรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่คือ เมืองอังวะ เมืองหงสาวดี เมืองแปร ก็ผูกพันเจริญราชไมตรีซึ่งกันเป็นอันดี"
"แลพระเจ้ามหาสิริชัยสุระ มีราชธิดาเกิดแต่พระอัครมเหสีอันหาชีวิตไม่แล้วพระองค์หนึ่ง กับราชบุตร ซึ่งเกิดกับพระราชเทวีองค์หนึ่ง ทั้งสองร่วมชันษาเดียวกัน แต่พระราชบุตรอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย ราชดรุณทั้งคู่เติบกล้ามาด้วยธารถันของแม่เลาชีนางนม ทั้งแม่เลาชีก็มีบุตรคนหนึ่ง แก่เดือนกว่าราชบุตรหลวงเพียงเจ็ดเดือน ทารกทั้งสามจึงได้ดื่มเลือดในอกเดียวร่วมกันสืบมาแต่น้อยๆ แลเจริญวัยใหญ่แข็งขึ้นมาด้วยการฟูมฟักของแม่เลาชีนางนม"
อักษรไทยแต่ละคำล้วนไพเราะ นับเป็นต้นแบบแห่งนักเขียนไทยอย่างเป็นที่สุด เหตุที่เปลี่ยนชื่อจาก "ยอดขุนพล" เป็น "ผู้ชนะสิบทิศ" นั้น คุณมาลัย ชูพินิจ หรือ "แม่อนงค์" เป็นผู้เปลี่ยนเพื่อลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ตั้งแต่ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52098