พิเศษ(formula)
เรนจ์ สตอร์เมอร์
งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ปีนี้เป็นปีทองของค่ายรถยนต์อเมริกันและญี่ปุ่นที่ยกขบวนรถต้นแบบและรถยนต์ใหม่ปี 2004 มายั่วน้ำลายผู้ชม อาทิ ฟอร์ด มัสแตง 2004สามารถปลุกความยิ่งใหญ่และจิตวิญญาณดั้งเดิมของ มัสแตงในยุคทศวรรษที่ 60ในการเป็นรถสปอร์ทราคาสมเหตุสมผลกลับมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่ที่ดูเงียบเหงาเห็นจะเป็นค่ายยุโรปแม้ว่าจะมีรถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวหลายคันก็ตาม อาทิ แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 9 หรือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 6 เปิดประทุน แต่ก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตามภายใต้ความเงียบเหงากลับมีสิ่งที่ไม่แต่เพียงกู้หน้าค่ายรถยนต์จากยุโรปแต่เรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นที่คอรถยนต์ทั่วโลกต้องตะลึงในงานนี้นั่นคือรถยนต์ต้นแบบเอสยูวีคันแรกในรอบ 55 ปีของค่าย แลนด์ โรเวอร์ซึ่งรถคันนี้มีชื่อเรียกขานในปัจจุบันว่า "เรนจ์ สตอร์เมอร์" (RANGE STORMER ) หรือ รหัส แอล 320
เรนจ์ สตอร์เมอร์ นั้นถ้าแปลเป็นไทยก็อาจจะได้ความหมายว่า "ตะบึงข้ามแดน"ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับชื่อเรียกขานยานยนต์รุ่นอื่นของตระกูล แลนด์ โรเวอร์ที่ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อที่แสดงถึงความสมบุกสมบัน บึกบึน อย่างเช่น " ดีเฟนเดอร์" (DEFENDER) หรือการผจญภัยอย่าง "ดิสคัฟเวอรี" (DISCOVERY) เพียงแค่ชื่อ เรนจ์ สตอร์เมอร์ก็แสดงให้เห็นภาพของทิศทางใหม่ของยนตกรรมว่าเป็นการผสมผสานระหว่าง ความบึกบึนกับความรวดเร็วรุนแรง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของบริษัท
การกำเนิดของรถแนวคิดรุ่นนี้ มาจากส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ประเภทใส่สูทลุยฝุ่นที่ เรนจ์ โรเวอร์เป็นราชันย์มานานกว่า 20 ปี ถูกลูบคมโดยคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 และ โพร์เชกาเยนน์ โดย บีเอมดับเบิลยู ชูประเด็นการขับขี่บนทางเรียบที่เร้าใจ ส่วน กาเยนน์ก็ยังตะลุยได้ไม่แพ้ใคร จึงสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐอเมริกาไปไม่น้อยทีเดียว จึงทำให้ แลนด์โรเวอร์ ต้องขบคิดหาหนทางแก้เกม ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของแนวความคิด เรนจ์ สตอร์เมอร์ยนตกรรมที่จะบอกให้โลกรับรู้ถึงการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของราชันย์แห่งรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่คราวนี้พร้อมลุยไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบ ทางฝุ่น หรือ ไม่มีทางเลยก็ยังไหวและยังมาพร้อมกับรูปโฉมที่ตื่นตาตื่นใจ โดยบอกเป็นนัยๆ ว่า"หากรถคันนี้ทำให้คุณหยุดมองมันได้ที่ดีทรอยท์ ที่ไหนๆ มันก็เป็นเป้าสายตาได้ทั้งนั้น"
จุดที่ทำให้ผู้ที่ได้ยลโฉม เรนจ์ สตอร์เมอร์ ต้องเกิดความรู้สึกทึ่ง และยำเกรง ก็คือสัดส่วนที่ใหญ่โตและทรงพลังดุดัน ในแนวทางที่คล้ายคลึงกับ โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม ได้ทำให้หลายๆ คนตะลึงงันมาแล้ว โดยสัดส่วนของ เรนจ์ สตอร์เมอร์ นั้นทำให้เราจินตนาการถึงภาพของ เรนจ์ โรเวอร์ที่ถูกดัดแปลงโดยสำนักแต่งรถให้เป็น สไตล์ แคลิฟอร์เนียน ลุค (CALIFORNIAN LOOK)ด้วยการกดหลังคาให้เตี้ยลง ทำซุ้มล้อให้โป่งออก ยางและล้ออัลลอยขนาดเขื่อง (ยาง 265/45 บนล้อขนาด 22 นิ้ว ผลิตโดย บริษัท ALCOA) แถมด้วยประตูเปิดแบบกรรไกรสไตล์ ลัมโบร์กินีพร้อมกับตัวถังสีส้มสดที่นักออกแบบจงใจตั้งชื่อสีนี้อย่างกวนๆ ว่า โอ ! เรนจ์ (OH ! RANGE) ซะด้วยสิ
หากเราจะแยกและตัดส่วนที่เป็น "โชว์ คาร์โอลี" (SHOW CAR ONLY) ออกไป อาทิ ประตูแบบกรรไกรการประดับประดาบนฝากระโปรงสไตล์ มัสเซิลคาร์ของอเมริกันในยุคทศวรรษที่ 60 หลังคากระจกใสรวมถึงเก้าอี้ทำจากแผ่นหนังหนา ดัดขึ้นรูปแบบ โมบีอัส ทวิสต์ (MOBIUS TWIST)บนโครงอลูมิเนียมเปลือย และชุดไฟเลี้ยวทำจากซิลิโคนที่ดูคล้ายน้ำแข็งน่าตื่นตาซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของนักออกแบบภายใน อายลายน์ โคนิง (AYLINE KONING) แล้ว
เราก็จะพบกับงานออกแบบที่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอาย และ ดีเอนเอ (DNA) ของ เรนจ์ โรเวอร์ แท้ๆ อาทิฝากระโปรงแบบฝาหอย คลาม เชลล์ บอนเนท (CLAM SHELL BONNET) หลังคาแบบ โฟลทิง รูฟ (FLOATING ROOF)ที่เสาหลังคาทุกต้นล้วนแต่เป็นสีดำเพื่อหลอกตาให้ดูเหมือนหลังคาลอยเป็นอีกชั้นหนึ่งเพื่อลดความรู้สึกหนักของหลังคา และแม้ว่ารูปลักษณ์ของตัวถังโดยรอบที่เป็นแผงตั้งบึกบึนพร้อมกับช่วงล้อที่ยาวถึง 2,700 มม. เพราะใช้พแลทฟอร์มเดียวกับรุ่น พี 38 เอ หรือ เรนจ์ โรเวอร์รุ่นก่อนที่จะใช้เครื่องยนต์ของ บีเอมดับเบิลยู นั่นเอง ซึ่งทีมงานเลือกใช้พแลทฟอร์มเก่าเนื่องจากเหตุผลเรื่องของความสะดวกในการเตรียมงานใช้เป็นรถเพื่อการจัดแสดง แต่ในของจริงจะเป็นการใช้พแลทฟอร์ม รุ่น ที 5 ซึ่งจะใช้กับรถรุ่น ดิสคัฟเวอรี คันใหม่ เมื่อจินตนาการดูก็สามารถเห็นภาพของ เรนจ์ สตอร์เมอร์ สามารถข่มขวัญรถยนต์คันอื่นๆบนท้องถนนเสมือนเป็นพญาช้างสาร กับมดได้ไม่ยาก
แต่ด้วยการลดความสูงลงกว่า 80 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ เรนจ์ โรเวอร์พร้อมกับความสามารถของนักออกแบบในการเล่นกับเส้นสายด้านข้างของตัวรถที่ให้ความรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เขม็งเกลียว พร้อมกับซุ้มล้อขนาดใหญ่และโอเวอร์แฮงด้านหน้าที่สั้นมากประกอบกับโอเวอร์แฮงหลังที่ยาวกว่า ทำให้ เรนจ์ สตอร์เมอร์ดูทะยานไปข้างหน้าตลอดเวลา และ ทะมัดทะแมง กระฉับกระเฉงและผู้ที่ผ่านไปมาสามารถรับรู้ถึงพละกำลังอันมหาศาลที่รอการปลดปล่อยซึ่งต้องยกประโยชน์ให้แก่นักออกแบบคือ เกออฟฟ์ อูเพกซ์ (GEOFF UPEX) และ ริชาร์ด วูลเลย์ (RICHARD WOOLLEY)
ด้านเครื่องยนต์ของ เรนจ์ สตอร์เมอร์ตามที่กล่าวในตอนแรกว่าเป็นรถต้นแบบใช้พแลทฟอร์มของรถรุ่นเก่า ทำให้จำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์ วี 8 ดั้งเดิมเพื่อใช้ในการจัดแสดง แต่ตามแผนงานจริง เครื่องยนต์ที่จะใช้กับพแลทฟอร์ม ที 5 จะเป็นเครื่องที่ แจกวาร์ เป็นผู้ออกแบบ ในขนาด 4.2 ลิตร วี 8 ซูเพอร์ชาร์จให้กำลังถึง 370 แรงม้า ที่เป็นที่ต้องการของตลาดสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงเครื่องยนต์ พีเอสเอ-ฟอร์ด-แพค (PSA-FORD-PAG) วี 6 เทอร์โบดีเซล และในอนาคตจะตามมาด้วยเครื่องยนต์ วี 8 ดีเซลอันเป็นการสนองความต้องการจากตลาดยุโรป
นอกเหนือจากรูปโฉมและเครื่องยนต์แล้วเราคงไม่ลืมว่ารถยนต์ต้นแบบนับเป็นเหมือนเวทีนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย ใน เรนจ์ สตอร์เมอร์เองก็มีการนำมาแสดงเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือ ระบบ เทอร์เรน เรสปอนส์(TERRAIN RESPONSE)ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการนำมาติดตั้งในรถตระกูลนี้ในอนาคต มันเป็นระบบอีเลคทรอนิคที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างระบบช่วงล่างที่ใช้กันสะเทือนอากาศเข้ากับระบบควบคุมเครื่องยนต์ เกียร์ เฟืองท้าย ระบบควบคุมเสถียรภาพ และระบบห้ามล้อเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสภาพของถนนและดินแดนที่ยากจะเรียกว่าถนนได้ถึง 6 ลักษณะ
ส่วนอีกระบบหนึ่งที่นำเสนอดูจะเป็นหมือนลูกเล่นที่สร้างความฮือฮา แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยนั่นก็คือระบบทำความสะอาดกระจกด้วยลมแรงดันสูงแทนการใช้ใบปัดน้ำฝนซึ่งเป็นแนวคิดในการขจัดคราบสกปรกเกาะกระจกท้าย อันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของรถยนต์ท้ายตัดมาแต่ดั้งเดิม
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า แลนด์ โรเวอร์ บริษัทต้นสังกัดตัดสินใจไม่ผลิต เรนจ์ สตอร์เมอร์ หรือ แอล 320ออกมาในรูปแบบที่เห็นนี้ แต่จะเป็น แอล 320 ที่อาจใช้ชื่อว่า เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ท ซูเพอร์ สปอร์ท หรือจีที และคงจะมี 5 ประตู แต่รายละเอียด และสัดส่วนที่สวยงามน่าเกรงขามและมุมกระจกหน้าที่ลาดเอียงได้รับคำยืนยันว่า จะยังคงถ่ายทอดลงไปใน แอล 320 คันจริงที่วางแผนออกสู่ตลาดในปี 2005 อย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่สุดขั้วอย่าง เรนจ์ สตอร์เมอร์แต่จากคำบอกเล่าของ นักออกแบบ ริชาร์ด วูลเลย์ รถในปี 2005 ยืนยันว่าแอล 320 จะเป็นรถที่เร้าใจและสปอร์ทที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่างแน่นอน
แฟนๆ รถตระกูลนี้ และผู้ที่ชอบรถ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 แต่อาจติงว่ามันเริ่มจะเก่าแล้ว ส่วนรถ โพร์เชกาเยนน์ ก็หน้าตาพิลึกพิลั่น เริ่มต้นหยอดกระปุกกันได้แล้ว ปี 2005 ไม่นานเกินรอครับ
เรื่องโดย : ภัทรกิต์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52011