เล่นท้ายเล่ม
ของดีของไทย
มีผู้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังนานแล้ว ในเมืองจีนสมัยนั้น (นานแล้วอีกเหมือนกัน)กุลีคนหนึ่งปวดฟันจนใบหน้าบวมขอลานายไปหาหมอ
นายจ้างของเขาเป็นคนมีเมตตา รับเอากุลีขึ้นรถเพื่อจะนำไปส่งหมอฟันที่เป็นฝรั่งกุลีขอร้องนายให้ไปส่งที่ห้องแถวซึ่งมีซินแสคนหนึ่งอาศัยอยู่
นายจ้างตามใจกุลี แต่เมื่อเห็นซินแสแล้วก็รู้สึกหมดหวังซินแสที่ว่านี้เป็นชายชราสูงอายุมีเคราสีขาวโพลนยาว นั่งพิงหลังกับฝาห้อง และมีหีบหนังสีดำใบเดียวไม่มีทางรู้ว่ากุลีจะหายปวดฟันได้ด้วยวิธีใด
กุลีที่ปวดฟันเข้าไปหาซินแส ซินแสเปิดหีบหนังหยิบขวดยาผงสีขาวแล้วหยิบยาออกจากขวดด้วยนิ้วมือสามนิ้วล้วงเข้าไปในปากของกุลี ทายากับฟันซีกนั้นไปมาประมาณ ๒-๓ ครั้ง แล้วสั่งให้นั่งนิ่ง ๆ พักหนึ่งจึงให้อ้าปากใหม่
คราวนี้ซินแสล้วงในปากหยิบเอาฟันซี่นั้นออกมาโดยไม่มีเลือดติดกุลีก็ไม่มีอาการแสดงความเจ็บปวดหรือเต้นเร่าแต่อย่างใดกลับเปล่งสีหน้าเบิกบานร้องบอกนายจ้างว่า
"ฮ้อแล้วซี...!"
เรื่องนี้ กุลีที่ปวดฟันดูไม่ค่อยสนใจจะค้นหาความลึกลับในการรักษาสักเท่าไร
เพราะคนที่สนใจนั้นกลับเป็นนายจ้างของกุลี นำเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หมอฝรั่งฟัง
หมอฝรั่งรับฟังโดยไม่มีอาการแสดงความดูแคลนการรักษาฟันของซินแสแต่ประการใดคาดว่ายาผงสีขาวนั้นเห็นทีต้องมีไข่มุกป่นผสมซึ่งเป็นตัวยาที่ไปทำลายเส้นประสาทไม่ให้เกิดความเจ็บปวด
ยาผงสีขาวนั้นจะมีอะไรผสมกันบ้างก็ไม่มีใครทราบ ทราบต่อมาว่าได้สูญไปแล้ว
ไม่มีใครคิดจะดำรงไว้ต่อมาถึงวันนี้
โลกหมุนเร็วเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทุกวันนี้เราเป็นโรคเห่อของใหม่ด้วยกันเป็นส่วนมากของดีเก่าแก่หรือของดีๆ สมัยโบราณหลายสิ่งหลายอย่างสูญไปจากโลก พูดได้เลยว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เสียดายความรู้เหล่านั้น
โลกสมัยปู่ย่าตายายของเรา สู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนมนุษย์ด้วยความรู้ ด้วยของดีๆที่ไทยเรามีอยู่ เป็นของที่หาได้ในแผ่นดินของเรา ไม่ได้มาจากต่างประเทศที่ไหนเลย
มีผู้กล่าวถึงคำว่า สมุนไพร กันอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ ผมเห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ด้วยสมุนไพรนี้แหละที่มีส่วนค้ำจุนให้ปู่ย่าตายายมีอายุยืนนาน 80-90 ปี
อีกทั้งเป็นคนแก่ที่มีร่างกายและจิตใจดี ตามประสาของคนที่มียาดี รู้จักรักษาเนื้อตัวดีหาไม่แล้วเขาคงไม่ได้มีอายุยืนยาวด้วยพลานามัยเข้มแข็งเช่นนั้นเป็นแน่ ยาผงสีขาวของซินแสผู้นั้นอาจสู้กับยาฝรั่งไม่ได้ในความสะดวกและความรวดเร็วในการบรรเทาความเจ็บปวดแต่มีใครคิดกันบ้างหรือไม่ว่า ยาฝรั่งนั้นได้ตัวยามาจากไหน ไม่ได้มาจากสมุนไพรในป่าดงพงพีดอกหรือ? มีผู้ส่งหนังสือมาให้ผมเล่มหนึ่ง ชื่อ "ตำรายากลางบ้าน"เก่าแก่พอกันกับอายุอานามของผมแต่ล้วนเป็นความอัศจรรย์เท่าที่ผมเคยพบ
มหัศจรรย์กว่าแหวนครองพิภพ หรือการผจญภัยของแฮร์รี พอร์ทเตอร์
ผมไม่เคยรู้ว่า ผลมะตูมสุกทั้งเมล็ดและยางของมัน ถ้าได้กินเข้าไปวันละลูกแค่สามวันเท่านั้นก็สามารถพิชิตโรคบิดได้
หรือยาระบายอย่างอ่อนที่สุดเท่าที่ผมทราบก็คือ ผลฝรั่งสุกธรรมดานี่เอง(อย่าให้เป็นผลฝรั่งที่ถูกฉีดยาก็แล้วกัน)
สังคมไทยสมัยก่อนนี้ โรคอย่างหนึ่งที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือ อหิวาตกโรค ชาวบ้านเรียกว่า โรคห่ากินก็คงจะเหมือนกับ โรคห่ากินไก่ กินสัตว์ปีก ที่คนสมัยใหม่เรียกว่า โรคหวัดนก นั่นแหละ
อหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่อน่ากลัวเกิดในประเทศไทยจนต่างประเทศต้องกำหนดระเบียบเข้าเมืองของคนไทยสมัยนั้นว่าต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคแล้ว จึงจะเข้าเมืองของเขาได้
ยากลางบ้านที่รักษาโรคห่ากินนี้ มีหลายขนาน ซึ่งผมก็อยากจะนำมาถ่ายทอดไว้ในที่นี้ถือเป็นวิทยาทานก็แล้วกัน อย่าไปถือสาเป็นเรื่องซีเครียดให้หนักสมองเลยครับ
ขนานที่หนึ่ง เป็นของท่านพระครูวิสุตธรรมรส วัดดอนเมือง กรุงเทพ ฯ
"ท่านให้เอาผลมะกรูด 1 ซีก ฝานเอาเฉพาะผิว กับ พริกไทยร่อน 20 เม็ด นำมาตำให้ละเอียดผสมกับสุราครึ่งถ้วยชา ใช้รับประทานทันทีในขณะท้องเดินอย่างแรง จะหยุดท้องเดินทันทีมีสรรพคุณชะงัดนักแล เคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว ฯ"
แค่มะกรูดในครัวหรือในสวนหลังบ้านกับพริกไทยอ่อน เท่านั้น มีเหล้าอีกนิดหน่อย
ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ ของแบบนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์จะให้เรียกอย่างไร
แถมสมัยนี้ ขึ้นชื่อว่าเหล้าแล้ว สาเกไทยของเรากำลังฟื้นชีพอย่างแรง
อีกขนานหนึ่ง เป็นของพระครูสิริเลขการ วัดด่านสำโรง สมุทรปราการ
"ท่านให้เอากาแฟดำ 1 ถ้วยชา (ชงให้แก่ๆ ข้นๆ จนเป็นยางเหนียว ไม่ต้องใส่นม ไม่ต้องใส่น้ำตาล)นำมาให้ผู้ป่วยรับประทาน ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนักจนถึงกับหมดสติไม่รู้สึกตัว ให้พยายามงัดขากรรไกรกรอกน้ำยาทีละน้อยๆ จนน้ำยาหมดถ้วยชาผู้ป่วยจะหายจากโรคอหิวาต์ได้อย่างน่าอัศจรรย์เคยใช้รักษาหายมาแล้ว มีสรรพคุณอย่างชะงัดยิ่งนักแล ฯ เมื่อหลังจากหายโรคแล้ว 7 วันให้รับประทานยาระบายอ่อนๆ เพื่อให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ"
ขนานนี้ค่อนข้างระทึกขวัญพอสมควรแต่ถ้าคิดถึงลำดับชั้นของการเจ็บป่วยถึงขนาดหมดสติแล้วยังกลับฟื้นได้ ก็ต้องว่า เป็นอัศจรรย์อยู่ดี
ส่วนขนานต่อไปนี้ เป็นของ "วิทยาทานสงวนนาม"
"ท่านให้เอาผ้าขี้ริ้ว (ผ้าเช็ดถูบ้านเรือน ยิ่งสกปรกมากๆ ก็ยิ่งดี) นำมาเผาไฟให้ไหม้ บดให้ละเอียดผสมกับสุรา หรือผสมกับน้ำร้อนก็ได้ ใช้รับประทานมีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลต่อไป ฯ"
ขนานนี้ น่าตกใจครับ ถ้าเป็นสมัยนี้เห็นทีหนังสือพิมพ์รายวันได้พาดหัวกันครึกโครม แบบเดียวกับน้ำปัสสาวะที่อ้างกันว่าสามารถรักษาเอดส์ได้อย่างนั้นแหละ
หรือโรคที่เกิดขึ้นภายในปากของเรา เช่น อาการปากเหม็นนั้น รักษาง่ายมาก ท่านให้เอากานพลูสัก ๒-๓ ดอก นำมาเคี้ยวอมไว้ หรือ เคี้ยวสักพักหนึ่ง แล้วคายทิ้ง บ้วนปากด้วยน้ำ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
หรือเอาใบฝรั่งสดๆ นำมาเคี้ยวสักครู่ แล้วคายทิ้ง (อย่ากลืนลงท้อง) แล้วบ้วนปากด้วยน้ำกลิ่นเหม็นภายในปากก็จะพลันหายเป็นปลิดทิ้งอีกเหมือนกัน
ทั้งสองขนานที่ผมนำมาพูดถึงนี้ อาจจะรักษาไม่เป็นผลชะงัดกับนักการเมืองประเภทพันธุ์ปากพล่อย
กลับมาเรื่องที่กุลีปวดฟันและขอให้นายจ้างนำตัวไปให้ซินแสรักษา ในตำราเล่มเดียวกันนี้มียาแก้เป็นของ พระอธิการอาบ อาทโร วัดม่วง โพธาราม ราชบุรี
"ท่านให้เอาเกลือทะเล 1 สารส้ม 1 การบูร 1 ตัวยาทั้งสามอย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆ กัน
นำเกลือกับสารส้ม มาสะตุให้สุกเสียก่อนแล้วนำตัวยาทั้งสามอย่าง มาผสมให้เข้ากันบดให้ละเอียดใช้สำลีห่อยาปิดบริเวณที่ปวดฟัน อาการปวดฟันจะพลันหายไปภายใน 10 นาที มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ"
คำว่า "สะตุ" ผมได้เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๒๕ แล้ว เป็นคำกิริยา
หมายถึงการแปรรูปลักษณะของบางอย่าง เช่น เกลือ สารส้ม ให้เป็นผงบริสุทธิ์โดยวิธีทำให้สลายตัวด้วยไฟเพื่อให้สิ่งที่ไม่ต้องการซึ่งเป็นมลทินระเหยกลายเป็นควันไป คงเหลืออยู่แต่ส่วนที่เป็นผงบริสุทธิ์
ส่วนตัวยาขนานต่อไปนี้ เป็นของ รตอ. เปี่ยม บุญยะโชติ กรุงเทพ ฯผมว่าพอเทียบได้กับยาฝรั่งที่เรียกกันทั่วไปว่า ไวอกรา
"ท่านให้เอา ใบข่อยอ่อนๆ หนัก 2 ตำลึง มะพร้าวแก่ 1 ซีก พริกไทยร่อนหนัก 1 บาท เกลือทะเลหนักพอสมควร นำตัวยาทั้ง 4 มาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำพอประมาณ คั้นเอาเฉพาะน้ำยาใช้คลุกกับข้าวสุก ใช้รับประทานทุกวัน ที่เหลือเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับใช้รับประทานวันต่อไปยาขนานนี้มีสรรพคุณบำรุงสุขภาพทางกามคุณชะงัดนักแล ฯ"
สำหรับผู้ชายที่เป็นโรค ใบข่อยโฟเบีย อาจสะดุ้งและไม่กล้าทดลอง...!
เรื่องโดย : บรรเจิด
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51974