รอบรู้เรื่องรถ
ก่อนซื้อรถ ต้องลองขับ !
เพื่อนของผมคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าได้ไปซื้อรถที่ "โชว์รูม " ในศูนย์การค้าย่านถนนพระราม 3หลังจากดูราคา รูปร่างภายนอก อุปกรณ์ภายใน เรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยปากขอลองขับแต่กลับได้รับคำตอบอย่างไม่มีเยื่อใยจากพนักงานขายว่าไม่มีรถให้ลอง ไม่ใช่ยังไม่มีนะครับแต่สื่ออย่างชัดเจนว่า "ที่นี่ไม่มีการให้ลองขับ อยากซื้อต้องจ่ายเงินค่ามัดจำมาคนอื่นที่มาขอซื้อเขาไม่เห็นต้องขอลองขับเหมือนคุณ"
ผมว่ามันเป็นวิธีการที่เลวร้ายมาก และที่สำคัญคือ ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่หลายๆ
แห่งด้วยกันปฏิบัติเช่นนี้ต่อลูกค้า คงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของผู้ซื้อด้วยเพราะจำนวนไม่น้อย (ที่จริงคือเกินครึ่ง) พอใจที่จะซื้อรถโดยไม่ต้องลองขับ
เป็นเพราะขาดความรู้ความเข้าใจครับ จึงไม่เห็นความจำเป็น เสร็จแล้วค่อยมาบ่น
มาหาวิธีแก้ปัญหาทีหลัง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เท่าที่ผมลองวิเคราะห์ดู ความผิดพลาดของการเลือกซื้อรถ เริ่มตั้งแต่การตั้งเงื่อนไขข้อแรกๆ แล้วเพราะแทนที่จะกำหนดคุณสมบัติของรถที่อยากซื้อ แล้วค่อยเลือกดูว่า มีรถอะไรเข้าข่ายบ้างคนไทยเรากลับเริ่มต้นโดยการเลือก "ยี่ห้อ" ก่อนเลย ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีเหตุผลมารองรับ เพียงแค่เพื่อนว่าดี พี่ว่าดี คนที่ทำงานบอกว่าดี หรือไม่ก็เห็นโฆษณาบ่อยดี คนซื้อใช้กันเยอะแล้วถ้าพ่อหรือแม่หรือใครก็ตามที่ออกเงินให้ บอกว่าดีแล้วไม่ยอมฟังเรา แบบนี้พอรับได้ครับแต่ถ้าเป็นเงินของเราเองต้องมีเหตุผลที่ดีกว่านี้
พอกำหนด "ยี่ห้อ" ตั้งแต่ต้น ก็เหมือนถูกบังคับให้ต้องเลือกรุ่นใดรุ่นหนึ่งตายตัว
เพราะมันเกี่ยวข้องกับราคา ถ้าเป็นรถเก๋งธรรมดา ก็จะเป็นรุ่นใหญ่ กลาง หรือเล็ก บางยี่ห้อก็จะมีแต่รุ่นกลาง กับ เล็ก ถ้าเป็นประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ เอสยูวี รถตู้หรือ เอมพีวี ก็จะไม่ต้องเลือกรุ่นทั้งหมดนี้จะถูกจำกัดโดยงบประมาณของผู้ซื้อ
เหลือเพียงการเลือกว่าจะเอาแบบอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากหรือน้อยเท่านั้น
วิธีเลือกรถให้เหมาะสมกับการใช้งาน หรือเหมาะสมกับผู้ซื้อมีรายละเอียดปลีกย่อยมากพอสมควรครับ โอกาสหน้าจะนำมาลงในคอลัมน์นี้สิ่งที่ผมต้องการเรียกร้องในคราวนี้คือ น่าจะมีกฎระเบียบตายตัวไปเลยว่าผู้ค้ารถใหม่ทุกรายจะต้องมีรถสำหรับให้ลูกค้าทดลองขับ ให้ครบทุกรุ่นที่จำหน่ายผมเชื่อว่าน่าจะเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงพาณิชย์ ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคที่จริงแล้วสำนักงานใหญ่เขาอาจมีระเบียบไว้แล้ว แต่ดูแลไม่ทั่วถึงหรือตัวแทนจำหน่ายเหล่านี้ฝ่าฝืนเองก็ได้ แล้วไม่มีสิทธิ์มาอ้างด้วยว่าอย่างไรเสียก็มีการรับประกันคุณภาพ
มันไม่เกี่ยวกันครับ ถ้าเราไปซื้อตู้เย็น หรือเตาไมโครเวฟ เราอาจไม่มีความต้องการลองเพราะวิธีใช้งานตายตัว ขอเพียงให้อุปกรณ์นั้นทำงานได้ตามปกติเราอาจเสี่ยงซื้อมาโดยดูเพียงภายนอกว่าไม่มีตำหนิเพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าและชื่อเสียงของผู้ผลิตว่าต้องมีการตรวจสอบคุณภาพมาอย่างดีก่อนบรรจุกล่องออกจำหน่าย
และยังมีใบรับประกันคุณภาพรองรับอยู่หากมีความบกพร่องถ้ากลับมาถึงบ้านแล้วมันเกิดทำงานไม่ได้ตามปกติ ก็แค่เหนื่อยที่จะต้องขนกลับไปส่งซ่อม
แต่รถยนต์แตกต่างกับอุปกรณ์เหล่านี้ครับ เพราะมีตัวเราซึ่งเป็นมนุษย์มีความรู้สึกจากประสาทสัมผัสต่างๆ เป็นศูนย์กลางของการใช้งานเราต้องการทราบว่ารถที่เราต้องการซื้อมีเสียงดังรบกวนหรือไม่ ท่านั่งขับสบายเพียงใดระบบกันสะเทือนนุ่มนวลถึงระดับความคาดหวังของเราหรือไม่ การเกาะถนนทรงตัวเป็นอย่างไรเร่งความเร็วได้ตามที่เราตั้งความหวังไว้หรือไม่ ให้ความรู้สึกขณะเบรคอย่างไรทัศนวิสัยรอบด้านดีพอหรือเปล่า พวงมาลัยหนักแรงเกินไป หรือ "เบา" เกินไปหรือเปล่า ฯลฯ
ยกตัวอย่างจริงๆ เลยก็ได้ครับ ผมเคยพบรถที่แป้นคันเร่งอยู่ในตำแหน่งที่ขับแล้วเมื่อยข้อเท้าอย่างมากไม่มีทางแก้ไขหรือปรับตัวเราให้คุ้นเคยได้เลยครับ (เฉพาะตัวผม) ถึงจะชอบคุณสมบัติด้านอื่นๆผมก็จะไม่มีวันใช้รถรุ่นนี้ครับ อีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ คันนี้ก็ดีแทบทุกด้าน ทั้งเครื่องยนต์ ห้องโดยสารช่วงล่าง แต่ความรู้สึกจากพวงมาลัยขณะขับทางตรงแย่มาก เพราะฝืด หนักแรง ไม่มี "เซนเตอร์"ทำให้เราต้องออกแรงบังคับพวงมาลัยอยู่ตลอดเวลาเพียงเพื่อให้รถคันนี้แล่นไปตรงๆ เท่านั้นแบบนี้ผมคงไม่ซื้อมาทรมานตัวเองแน่ เพราะเกินกว่า 90 เปอร์เซนต์ ของเวลาที่เราขับรถเป็นการขับทางตรง
คงมีคนอยากย้อนถามว่าแล้วทำไมรถพวกนี้ยังขายได้ ก็ขายพวกที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรง่ายไงครับผมเองยังหาคำตอบไม่ได้ว่า จะถือว่าคนกลุ่มนี้โชคดีหรือโชคร้ายแน่ แต่ถ้าต้องตัดสิน ผมก็ยังเชื่อมั่นว่ารู้ดีกว่าไม่รู้ รู้สึกดีกว่า ไม่รู้สึกครับ นี่ก็เรื่องจริง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชอบกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามากเวลาไปไหนด้วยกันและอยากให้ถูกใจละก็ง่ายมากเลย แค่หาร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้ร้านไหนเขาก็ว่าอร่อย ขอให้เป็นราดหน้า ตัดสินกันเองนะครับว่าน่าอิจฉาหรือไม่
ปัญหาหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตรถเกือบทุกราย ปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน ก็คือ คนไทยไม่ยอมซื้อรถ 5ประตู หรือ แฮทช์แบค ( HATCH BACK ) ผมเองก็งงมาก
โดยเฉพาะสำหรับรถขนาดเล็กแล้วน่าใช้อย่างมาก เพราะมีแต่ข้อได้เปรียบรุ่น 4 ประตู
ผมเองพยายามหาคำตอบมานานแล้ว แต่ก็ไม่ทราบจะไปหาที่ไหนเหมือนกัน
เลยต้องลองทายเอาเองว่าสาเหตุใหญ่ที่สุด น่าจะมาจากการขาดความรู้ความเข้าใจ
เพราะไม่ได้รับจากสื่อไหนเลยจึงไม่เห็นประโยชน์ของรถ แฮทช์แบคที่ประเทศจีนก็มีปัญหานี้เหมือนกัน
ส่วนสาเหตุที่สอง น่าจะมาจากความรู้สึกอนุรักษ์อย่างอ่อนๆเพราะจินตนาการจากรถที่คุ้นเคยมานานว่ามันควรเป็นทรงกล่องสามใบของรถ 4 ประตู พอมาเจอรถ 5
ประตู ก็อาจจะรู้สึกว่ามันแปลกไป ไม่สวย ไม่หรูเท่าที่ควรหรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่หลังจากได้เห็นยอดจำหน่ายรถแบบนี้ในงานมอเตอร์ เอกซ์โป แล้วก็เริ่มสบายใจว่าคนไทยเริ่มยอมรับแล้ว และก็ไม่ทราบแน่อีกเช่นเคยครับ ว่าเพราะอะไร เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะคนไทยหันมานิยมรถตู้หรือแวน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา
บรรดารุ่นใหญ่ที่พวกเราเรียกและใช้กันนั้น ชาวสหรัฐ ฯ เขาเรียกมีนีแวนครับรุ่นเล็กของเราก็จะต้องเป็นไมโครแวน ผมว่ารถแฮทช์แบคที่ขายดีในงานนี้อาจเป็นเพราะคนไทยมองมันว่าเป็นแวนรุ่นจิ๋วของเรามากกว่าจะอย่างไรก็ตามรถแบบนี้ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแบบ 4 ประตูอย่างเห็นได้ชัดครับซื้ออะไรมาก็เปิดฝายกขึ้นลงได้สะดวก มีของมากพับพนักพิงหลังเพิ่มเนื้อที่ได้อีกเกือบเท่าตัวขนของที่ค่อนข้างยาวได้ด้วย เพราะฉะนั้นเหมาะอย่างยิ่งที่จะทำเป็นรถแทกซี ก็หวังว่า "ยี่ห้อ" อื่นๆจะรีบทำกันออกมาให้เลือกนะครับ เพราะมีรถ "อยู่ในมือ" กันทั้งนั้น
เรื่องโดย : เจษฎา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51938