มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์โตเกียว
มาซดา
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับห้าของเมืองปลาดิบ ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของยักษ์รองฟอร์ด มอเตอร์ มาตั้งแต่ปี 1996 มีรถแนวคิดประชันขันแข่งกับผู้ผลิตรายอื่นๆ อยู่หลายคัน แต่เกือบทั้งหมดล้วนเป็นรถที่เคยเห็นกันมาก่อนแล้วในมหกรรมยานยนต์รายการอื่นๆ ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
มาซดา วาชู (MAZDA WASHU) ในภาพ 31-32 ซึ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เมื่อเดือนมกราคม 2003 และถูกนำมาฉายซ้ำที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ MPV หรือ รถอเนกประสงค์ ขนาดหกที่นั่ง ที่เพียบไปด้วยอุปกรณ์บังคับควบคุมไฮเทควิลิสมาหรา รวมทั้งระบบ DRIVE-BY-WIREซึ่งทำให้สามารถพับเก็บพวงมาลัยไว้ในแผงหน้าปัดอุปกรณ์ และไม่เกะกะกีดขวางเวลาเข้าออกรถ ตัวถังซึ่งยาว 4.830 ม.กว้าง 1.850 ม.และสูง 1.570 ม.มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศแค่ 0.25 และมีจุดน่าสนใจตรงประตูข้างบานหลัง ที่ออกแบบเหมือนประตูเลื่อนของอากาศยาน ทำให้ขึ้นลงได้สะดวกมาก สำหรับชื่อ WASHU นั้น เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ปีกนกอินทรี
มาซดา อีบูกิ (MAZDA IBUKI) ในภาพ 33-34 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุนสองที่นั่งวางเครื่องกลางลำ ซึ่งเป็นต้นแบบของรถ MAZDA MX-5 รุ่นใหม่ ที่จะออกจำหน่ายในอีกปีหรือสองปีข้างหน้านี้ส่วน มาซดา แอกเซลา (MAZDA AXELA) ในภาพ 35 ซึ่งได้รับความสนใจไม่แพ้รถแนวคิด เป็นรถรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้เพิ่งนำออกจำหน่ายแทนที่รถรุ่นเดิม ซึ่งรู้จักกันดีในบ้านเราในชื่อ มาซดา 323 (MAZDA 323)
มิตซูบิชิ
มิตซูบิชิ ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ (DAIMLER CHRYSLER) ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาผลิตรถออกสู่ตลาด 1.6 ล้านคัน และทำกำไรได้ประมาณ 12,400 ล้านบาท นำรถแนวคิดออกแสดงในงานนี้รวมสี่คัน แต่มีอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น ที่ปรากฏตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก" คือ มิตซูบิชิ ซี-โร (MITSUBISHI SE-RO) ในภาพ 36-37
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CITY CAR หรือ"รถนาคร" ซึ่งหน้าตาและรูปทรงองค์เอวต้องดูให้ดีจึงจะรู้ว่าด้านไหนข้างหน้าด้านไหนข้างหลัง ตัวถังซึ่งอยู่ในกฎเกณฑ์ของรถ MINICAR ตามกฎหมายญี่ปุ่น คือ ยาว 3.395 ม.กว้าง 1.475 ม.และสูง 1.675 ม.ทำจากอลูมิเนียมขัดมัน มีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.560 ม. และมี WAIST LINE หรือ เส้นสะเอว ค่อนข้างสูงกว่าปกติ ห้องโดยสารซึ่งจุสี่ที่นั่งจึงมีลักษณะปกปิด เป็นที่มาของชื่อ SE-RO ซึ่งย่อมาจาก SECRET ROOM หรือ"ห้องลับ" ประตูข้างเปิดแยกออกจากกันเหมือนประตูตู้กับข้าว แต่ยังคงมีเสากลางเหมือนรถทั่วๆไป เป็นรถวางเครื่องกลางลำ/ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC.MIVEC 3 สูบเรียง 12 วาล์ว 659 ซีซี ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง(เกียร์ CVT)
ส่วน มิตซูบิชิ ซีเซด 2 กาบริโอเลต์ (MITSUBISHI CZ2 CABRIOLET) มิตซูบิชิ ทาร์แมค สไปเดอร์ (MITSUBISHI TARMAC SPYDER) และ มิตซูบิชิ ไอ (MITSUBISHI i) ในภาพ 38-40 ล้วนเป็นรถ แนวคิดที่เคยปรากฏตัวในงานอื่นมาก่อนแล้ว
นิสสัน
นิสสัน ซึ่งเพิ่งทวงตำแหน่ง ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น กลับคืนจาก ฮอนดา แถมยังสามารถทำกำไรต่อคันจากรถที่ขาย ได้มากกว่ายักษ์ใหญ่ โตโยตา เสียอีก นำรถแนวคิดออกอวดฝีมือในงานนี้ร่วมสิบคันและทั้งหมดปรากฏตัวในลักษณะ"ครั้งแรกในโลก"
นิสสัน จีคู (NISSAN JIKOO) ในภาพ 41-42 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทเปิดประทุนสองที่นั่งซึ่งลักษณะการออกแบบเห็นได้ชัดว่าได้แรงบันดาลจากรถ ดัทสัน โรดสเตอร์ (DATSUN ROADSTER) รุ่นปี1935 อันเป็นผลงานในยุคที่ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้เพิ่งก่อร่างสร้างตัว เอกสารประชาสัมพันธ์ที่แจกจ่ายให้แก่ผู้สื่อข่าวที่ไปร่วมงานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งนี้ ระบุว่า เป็นรถแนวคิดที่ยักษ์รองเมืองปลาดิบรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 70 ปีของบริษัท และวาระครบรอบ 400 ปีของยุคเอโดะ (EDO) ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นถูกปกครองโดยโชกุน รูปทรงองค์เอวของตัวถังเปิดประทุน ซึ่งยาว 3.730 ม.กว้าง 1.615 ม.และสูง 1.230 ม. จึงเป็นผลลัพธ์ของการประสมประสานเทคโนโลยีอันทันสมัย เข้ากับศิลปกรรมแบบญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ ได้อย่างลงตัว
นิสสัน เรดิโก (NISSAN REDIGO) ในภาพ 43-44 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถยนต์นั่งทรงสองกล่องที่ออกแบบโดยมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวที่รักธรรมชาติเป็นลูกค้าเป้าหมาย ตัวถังสี่ที่นั่ง ยาว 3.830 ม.กว้าง 1.695 ม.และสูง 1.660 ม. มีจุดเด่นตรงตรงหลังคา ซึ่งทำจากกระจกบานโตสองแผ่น ที่สามารถผลักเข้าไปซ่อนอยู่ใต้คานกลางในลักษณะของรถเปิดประทุน
นิสสัน ฟูกา (NISSAN FUGA) ซึ่งหน้าตาและรูปทรงองค์เอว น่าจะเป็นรถตลาด แต่ยังติดป้ายประกาศว่าเป็นรถแนวคิด เชื่อกันว่า เป็นต้นแบบของรถระดับสุดหรูแบบใหม่ ที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกจำหน่ายแทนที่รถรุ่นปัจจุบันที่รู้จักกันในชื่อ นิสสัน ซีมา (NISSAN CIMA) หรือ อินฟินิที คิว 45 (INFINITI Q45)
นิสสัน เซเรนิที (NISSAN SERENITY) ในภาพ 46-47 เป็นรถแนวคิดที่ประสมประสานคุณลักษณะของรถสปอร์ทซีดาน เข้ากับความสะดวกสบายของ MPV หรือรถอเนกประสงค์ขนาดหกที่นั่ง กลายเป็นรถรูปลักษณ์ใหม่ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MULTIPURPOSE CROSSOVER VEHICLE ที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและสัมผัสในความไฮเทควิลิสมาหรา ห้องโดยสารซึ่งวางเก้าอี้ที่นั่งสองแถว เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสุขความสะดวก รวมทั้งระบบ MAGIC 4 CONCEPT ที่ยักษ์รองเมืองยุ่นออกแบบขึ้นเอง โดยรวมระบบบังคับควบคุมต่างๆไว้ในปุ่มบังคับแค่สี่ปุ่ม
นิสสัน ซี-โนท (NISSAN C-NOTE) ในภาพ 48 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรภแฮทช์แบคห้าประตูห้าที่นั่งซึ่งวิจารณ์กันว่า หน้าตารูปทรงองค์เอวยังกะลอกแบบมาจากรถ เรอโนลต์ เมกาน (RENAULT MEGANE)ของหุ้นส่วนฝรั่งเศส ส่วน นิสสัน เอฟฟิส (NISSAN EFFIS) ในภาพ 49-50 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CITY CAR หรือ รถนาคร 3.5 ที่นั่ง มีตัวถังยาวแค่ 3.000 ม. และขับเคลื่อนสี่ล้อ ด้วยพลังจาก FUEL CELL หรือ เซลล์เชื้อเพลิง และใช้แบทเตอรี ลิเธียม-อีออน (LITHIUM-ION) ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด
ซูบารุ
ฟูจิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ ผู้ผลิตรถ ซูบารุ ซึ่งใครๆก็ยกนิ้วให้ในเรื่องเทคโนโลยี แต่มักจะถูกวิจารณ์เละเทะอยู่บ่อยๆ เมื่อพูดถึงหน้าตาและรูปทรงองค์เอวของรถที่ทำออกขาย นำรถแนวคิดออกเปิดตัวในงานนี้รวมสามคัน
ซูบารุ บี 9 สแครมบเลอร์ (SUBARU B9 SCRAMBLER) ในภาพ 51-52 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุนสองประตูสองที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยระบบพันทาง (HYBRID DRIVE) โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์ ทำงานควบคู่กับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 1,994 ซีซี 140 แรงม้าตัวถังซึ่งยาว 4.200 ม.กว้าง 1.880 ม.และสูง 1.260 ม. ออกแบบภายใต้คำแนะนำของ อันดเรอัสซาปาตินัส (ANDREAS ZAPATINAS) นักออกแบบชาวกรีกชื่อดัง ซึ่งเพิ่งย้ายจากยุโรปมารับตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบของซูบารุได้ปีเศษ มีแผงกระจังหน้า ซึ่งเชื่อกันว่า จะเป็นเอกลักษณ์ หรือ BRAND IDENTITY ของรถรุ่นใหม่ๆ ที่ค่ายนี้จะผลิตจำหน่ายในอนาคต
ส่วน ซูบารุ อาร์ 1 อี (SUBARU R1e) ในภาพ 53-54 และ ซูบารุ อาร์ 2 (SUBARU R2) ในภาพ 55เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ MINI CAR ตามกฎหมายญี่ปุ่น ที่อีกไม่นานก็คงกลายสภาพเป็นรถตลาดและออกจำหน่าย โดยที่คันแรกเป็นรถสามประตูที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 240 โลท์ 40 กิโลวัตต์ ที่รับพลังจากหม้อแบทเตอรี แมงกานีส ลิเธียม-อีออน (MANGANESE LITHIUM-ION) ส่วนคันหลังเป็นรถห้าประตูขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยกำลังจากเครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จด์ DOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 660 ซีซี
ซูซูกิ
ซูซูกิ มอเตอร์ เจ้าแห่งผู้ผลิตรถ MINI CAR ตามกฏหมายเมืองยุ่น และเป็นผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอีกรายหนึ่งที่มียักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส เป็นผู้ถือหุ้น (ตั้งแต่ปี 1981) นำรถแนวคิดออกตัวหลายคัน และส่วนใหญ่เป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดโตไม่เกิน 660 ซีซี
ซูซูกิ โมบาย เทอร์เรศ (SUZUKI MOBILE TERRACE) ในภาพ 56-57 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถขนาดหกที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังจาก FUEL CELL หรือ เซลล์เชื้อเพลิง ที่ขอหยิบขอยืมเทคโนโลยีจากรถแนวคิด HY-WIRE ของค่าย เจเนอรัล มอเตอร์ส แล้ว ซูซูกิ พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับรถขนาดเล็กซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ผลิตรถญี่ปุ่นรายนี้ ตัวถังทรงกล่องเดียวซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่กระจก ยาว 4.050 ม.กว้าง 1.695 ม.และสูง 1.740 ม. ออกแบบตามแนวคิด A RELAXED SPACE CREATED BY INNOVA TIVE PACKAGING มีห้องโดยสารซึ่งวางเก้าอี้ที่นั่งเป็นสามแถว และสองแถวแรกสามารถหันหน้าเข้าหากัน ได้ตามแนวยาวของตัวรถ ส่วนประตูข้างทั้งสองด้าน เป็นประตูเลื่อนออกจากกัน ดังที่เห็นในภาพ
ซูซูกิ เอส-ไรด์ (SUZUKI S-RIDE) ในภาพ 58-59 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสองที่นั่ง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถสกูเตอร์ เพราะวางเก้าอี้แบบแถวตอน ส่วน ซูซูกิ แลนด์บรีซ (SUZUKI LANDBREEZE) ในภาพ 60 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ SUV หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง ขนาดสี่ที่นั่ง หน้าตากระจุ๋มกระจิ๋ม และตกแต่งน่ารัก ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยพลังจากเครื่องยนต์ DOHC 3 สูบเรียง 658 ซีซี
โตโยตา
ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่น กำลังเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพราะในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่ผลิตรถออกขายน้อยกว่ายักษ์ใหญ่ จีเอม สองล้านคัน และน้อยกว่ายักษ์รอง ฟอร์ดเจ็ดแสนคัน แต่กลับทำกำไรได้ถึง 480,000 ล้านบาท คือมากกว่ากำไรของ จีเอม ฟอร์ด และ ไดมเลร์ไครสเลอร์ รวมกันเสียอีก แถมยังประกาศอย่างอหังการ์เมื่อไม่นานมานี้ด้วยว่า จากที่ครองตลาดอยู่แค่ร้อยละ 11.5 ในขณะนี้ (เจเนอรัล มอเตอร์ส ร้อยละ 14) ภายในปี 2010 โตโยตา จะกลายเป็นผู้ผลิตรถ
ยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 15 และด้วยยอดผลิตสูงกว่าปีละ 8 ล้านคัน
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา และ อาสาฬห์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51892