โค้งอันตราย
จิปาถะ
หมดฝนย่างเข้าต้นหนาว ด้วยภาวะการที่น้ำท่วมเพราะน้ำป่า ทำเอาภาคกลางตอนล่างปั่นป่วนไปตามๆ กัน รวมทั้งบรรดาข้าราชการที่หนีการประชุมเอเปค จาก
กทม. ก็พลอยโดนอานิสงส์ไปด้วย
แต่ก็ยังพอเชื่อได้ว่า ยอดการขายรถยนต์ประจำปี 2546 นี้ อย่างไรเสียก็เฉียด 4 แสนคันแน่นอน
เพราะใครต่อใครก็ออกมาพูดว่าสภาวะเศรษฐกิจของเราดีเหลือหลาย ยิ่งมีการประชุมระดับโลก 21 ประเทศเขตเศรษฐกิจ ที่ท่านนายกว่ามีมูลค่าการซื้อขายกันถึง
2.2 ล้านล้านบาท ก็ยิ่งดูหรูหราอลังการ
แถมงานนี้ภาพที่ออกมางดงาม เล่นเอาคนไทยซึ้งใจ ภาพของวัดพระแก้วที่อลังการด้วยแสงสี ปลิวกันว่อนในไปรษณีย์อีเลคทรอนิค
เฉพาะกระผมเองน่ะได้มาห้าฉบับด้วยกัน ใครยังไม่เห็นบอกกันมาได้นะครับ เรื่องรักชาติเนี่ย ยินดีสนับสนุน
มาเรื่องของเราดีกว่า หนนี้ขอเริ่มด้วยเรื่องของรถจักรยานยนต์ เพราะสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. กำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
มอก. 2130-2545 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แต่บรรดาผู้ประกอบการต่างพากันคัดค้าน เรื่องความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์
ระดับ 5
สมอ. ก็ยอมผ่อนตามคำคัดค้าน โดยกำหนดให้รถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบตั้งแต่ 110 ซีซี ขึ้นไปมีผลใช้บังคับในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 60 วัน
นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และรถจักรยานยนต์ขนาดตั้งแต่ 110 ซีซี
ขึ้นไปมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเครื่องยนต์ของยานยนต์
นอกจากเรื่องของรถจักรยานยนต์แล้วยังมีเรื่องของมาตรฐานน้ำมันดีเซล ยูโร 3 ที่กำหนดให้ลดปริมาณ
แกสซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ กำมะถัน จาก 500 พีพีเอม ลงเหลือ 350 พีพีเอม เพื่อรักษาสภาวะแวดล้อม งานนี้มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2547
ก็คงไม่ข้องแวะกับผู้ใช้สักเท่าไรนัก เป็นเรื่องของโรงกลั่นน้ำมันเสียมากกว่า ว่าจะต้องปรับตั้งอุณหภูมิการกลั่นอยู่ที่เท่าไร เพื่อลดกำมะถันให้ได้ตามกำหนด
เพียงแต่ราคาน้ำมันอาจต้องปรับเพิ่มขึ้นบ้างตามสมควรนะครับ
ก็เรียนมาเพื่อทราบไว้ล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่ตกอกตกใจเวลาเห็นค่าน้ำมันขยับตัวสูงขึ้น
ไหนๆ ก็ปลายปีแล้ว ขอบันทึกไว้เป็นเกียรติว่า ในปี 2546 นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ให้การส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ โดยมีเงื่อนไข คือ
เป็นโครงการรวมประกอบไปด้วย กิจการประกอบรถยนต์ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ และ/หรือ กิจการผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์
เพื่อป้อนกิจการประกอบรถยนต์ มีขนาดการลงทุนรวมของโครงการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน
ต้องเป็นกิจการประกอบรถยนต์ ที่ผลิตเพื่อการส่งออกที่มีเป้าหมายชัดเจน
โดยได้รับสิทธิประโยชน์ ตั้งโรงงานได้ทุกเขต ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ได้รับสิทธิภาษีเงินได้นิติบุคคล และประโยชน์อื่นๆ อีกเยอะ
ทั้งนี้ยกเว้นการผลิตระบบเบรค EBS การผลิต SUBSTRATE หรือเจ้าตัวกระเบื้องรังผึ้งที่อยู่ในกรองไอเสีย CATALYTIC CONVERTER
การผลิตระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันด้วยไฟฟ้า ELECTRONIC FUEL-INJECTION SYSTEM ซึ่งเป็นกิจการที่ บีโอไอ
ให้ความสำคัญเป็นพิเศษอยู่แล้ว
รายการที่ว่ามาทั้งหมดนี่ ตอนนี้มีผู้ได้รับประโยชน์อยู่เจ้าเดียวครับ คนแถวสำโรง เขาจะไปสร้างโรงงานใหม่แถว
สุวินทวงศ์ ทางไปแปดริ้วนั่นแหละ ส่วนเจ้าอื่นๆ ก็กำลังหาทางเจรจากับบริษัทแม่กันอยู่เป็นพัลวัน เพราะเจ้าสิทธิประโยชน์ที่ได้เนี่ย
ไม่ค่อยมีใครอยากพูดเป็นตัวเงินสักเท่าไร เพราะมันเยอะครับ เยอะมากๆ
แถมอีกเรื่องนะครับ ก็เรื่องของระบบการขนส่งมวลชน ที่แต่ก่อนเอกชนเขาทำก็ดีอยู่แล้ว หลวงท่านก็รวบเอามาทำเอง กันข้อครหาโดยเลือกรถหลากยี่ห้อ
ทำแล้วก็เป็นหนี้ชาวบ้านเขาบานเบอะ ทั้งค่าซ่อม ค่าน้ำมัน แถมยังเจอดอกเบี้ยแบงค์เข้าไปอีก แถมยี่ห้อที่สั่งเข้ามาทำรถเมล์โดยเฉพาะ ก็หาอะไหล่ไม่ได้อีก
จอดกองเป็นป่าช้า
บ่นไปก็เท่านั้น เพราะตอนนี้ ขสมก. จะต้องชำระหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ยแก่ ปตท. เป็นเงินรวม 1,883.88 ล้านบาท นี่ขนาดต่อรองแล้วนะครับ
ซึ่งจะต้องไปกู้เงินมาชำระโดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน
เรียกง่ายๆ ว่าเอาหน้ารอดไว้ก่อน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เคยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาขาดทุน และฐานะการเงินของ ขสมก. ที่เห็นควรให้ ขสมก.
เร่งรัดการปรับปรุงกิจการตามมาตรการเพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินการกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของ ขสมก.
ที่จะให้ดำเนินกิจการเดินรถต่อไป หรือโอนกิจการให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นไปพิจารณาดำเนินการด้วย
แถมสำทับจากคณะรัฐมนตรีมาอีกว่า ขสมก. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางการดำเนินงานจากเดิม
ให้สอดคล้องกับแผนหลักด้านการจราจรขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะมีระบบการขนส่งมวลชนอื่น ๆ
เข้ามามีบทบาทในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และ ขสมก. จะต้องลดบทบาทจากหน่วยงานรับส่งหลัก (MAIN TRUNK) ลงมาเป็นหน่วยงานรับ-ส่งต่อ
(FEEDER) มากขึ้น
ขออภัยนะครับ ที่จำเป็นต้องใช้ภาษาต่างประเทศมากหน่อยหนนี้ เพราะใช้แล้วได้ความหมายที่ชัดเจน
อีกหน่อยเราก็จะมีรถใต้ดินใช้แล้ว หลังจากที่เฉพาะกรุงโตเกียวที่เดียว มีใช้อยู่เกิน 10 บริษัทแล้วครับ ก็ยังดีที่เริ่มมีใช้ช้ากว่าเขาประมาณสี่ห้าสิบปีเท่านั้นเอง
ทีนี้เมื่อเรามีรถไฟฟ้าใต้ดินใช้กันแล้ว ช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อีกทางหนึ่ง
แต่ปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีความสามารถในการหารายได้ ให้เพียงพอกับรายจ่าย
เลยต้องมาหาเอาจากประชาชนตาดำๆ ด้วยกันเองเนี่ย ใครจะช่วยได้ครับ
แค่โจรสะพานลอย ยังปราบกันไม่อยู่
แล้วโจรที่มันอาศัยหากินแถวรถไฟฟ้าใต้ดิน จะปราบมันไหวหรือครับเนี่ย
ใครช่วยตอบให้ชื่นใจหน่อยได้ไหม อย่าให้ต้องถึง คุณแม้ว ท่านเลย เพราะท่านกำลังจะปรับ ครม. คงไม่มีเวลาหรอกครับ
กราบขอบพระคุณจากประชาชนคนจนชาวไทยไว้ล่วงหน้าครับ
ขอแสดงความนับถือ
มือบ๊วย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51856