ชีวิตคือความรื่นรมย์
"คำเพราะคือสังวาลย์กอบแก้ว"
ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อยู่ๆ กระทรวงวัฒนธรรม (ที่มีคุณอุไรวรรณ เทียนทองรัฐมนตรีผู้โด่งดังเพราะเป็นแม่บ้านใหญ่ของนักการเมืองใหญ่เป็นผู้บริหารสูงสุดหรือภาษาแห่งยุคสมัน่าจะใช้ว่า "ซีอีโอ") ก็มีเรื่องมาให้ประชาชนได้กล่าวถึงขั้นฮือฮา ถ้าเรียกภาษาสมัยใหม่ก็เรียกว่า"พูดกันสนั่นเมือง" หรือ "ทอล์คออฟเดอะทาวน์" (ซึ่งนิตยสาร "ชาวกรุง" เคยใช้คำเก๋ว่า "นาครสนทนา")ถ้าเป็นเรื่องดีๆ เช่น "พูดทุกที สวัสดีทุกครั้ง" ที่กระทรวงแห่งนี้อยากเผยแพร่แต่ไม่เห็นโด่งดังดั่งปรารถนา ก็น่าจะถือเป็นความสำเร็จ แต่เรื่องนี้แม้โดยความตั้งใจจะเป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุน แต่รายละเอียดออกมากลายเป็นเรื่อง "ขำกันสนั่นเมือง" ไปจนได้
เรื่องของเรื่องมีว่ากระทรวงเห็นว่าเพลงบางเพลงที่มีเนื้อหาหรือถ้อยคำเกี่ยวกับเมียน้อยหรือการมีชู้เป็นเพลงที่มีเนื้อหาไม่เหมาะแก่สังคมไทยจึงขอให้กรมประชาสัมพันธ์ประกาศห้ามเปิดเพลงที่มีเนื้อหาเชิงชู้สาวผิดศีลธรรมออกเผยแพร่ทางสื่อวิทยุ (โทรทัศน์ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ...ที่เรียกเป็นภาษาต่างด้าวว่า "แบน"-BAN) ทั้งๆที่เพลงเหล่านั้นร้องกัน-ฟังกัน-ขายกันมานานนักหนาแล้ว (ล่ะป้าอุเอ๊ย)...
เรื่องนี้โดยเจตนารมณ์นั้น ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าไม่น่าส่งเสริมแน่ๆ แต่คนทั้งหลายก็หาความว่าท่านรัฐมนตรีส่งสัญญาณไปถึงใครกันแน่ หรือว่าต้องการสนับสนุนคุณระเบียบรัตน์ พงษ์พานิชย์สมาชิกวุฒิสภาคนดังซึ่งกินตำแหน่งใหญ่คือนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยโดยตำแหน่งอีกสถานภาพหนึ่งซึ่งเธอประกาศเป็นประธานสมาพันธ์บดขยี้ชายที่คิดมีเมียน้อยอย่างเด็ดเดี่ยว โดยมีคำขวัญ (ความจริงน่าจะเรียก "คำขวาน") อันชวนหวาดเสียวว่า "รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย" (ขออภัยที่นำคำในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมาใช้แต่เป็นคำที่เจ้าแม่...เอ๊ย...คุณแม่บ้านท่านสะท้อนความรู้สึกจริงใจออกมาเช่นนั้นจริงๆ สาบานได้)
จริงแท้แน่นอนว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศเป็นศีล (ข้อห้าม)ข้อสามไว้แล้วว่าห้ามการผิดลูกเมีย-ลูกผัวหรือคู่คนอื่น (รวมทั้งนอกใจ "คู่ชีวิต" ของตนนั่นสำคัญที่สุด)ว่า "กาเม สุมิจฉาจาร" นั้น เป็นเรื่องต้องห้ามสำคัญในวัตรปฏิบัติขั้นต้นของสาธุชน (สาธุ=ดี) หรือคนดีทั่วไปอยู่แล้ว การเผยแพร่เรื่องราวเชิงสนับสนุนในเรื่องชู้สาวในทางผิดศีลธรรมก็เป็นการสมควรที่ไม่ควรสนับสนุนเผยแพร่แน่นอน
เมื่อเกิดเรื่องราวฮือฮาขึ้นมา จึงมีการซักไซ้ไล่เลียงและมีการปฏิเสธกันขึ้น ความจริงจึงปรากฏว่าเรื่องนี้มาจากสมาชิกวุฒิสภาคนดังจริงๆท่านส่งสารถึงกระทรวงวัฒนธรรมขอให้ห้ามเผยแพร่เพลงเพียง 2 เพลงคือ บ่ย่านบาป (ที่เป็นเพลงลูกทุ่ง ซึ่งแปลว่า "ไม่กลัวบาป" ที่มีคนพยายามเอาใจช่วยว่าแปลว่า "อย่ากลัวบาป" นั้น ไม่ใช่) ซึ่งผู้ขับร้องและไม่น่าจะเป็นผู้รับบาปโดยตรงคือ หญิงลี ศรีจุมพล กับเพลง (แก้กัน) "อ้ายย่านบาป" (ซึ่งแปลว่า "พี่กลัวบาป") ขับร้องโดย ไพฑูรย์ หนุนโชค
ที่ฮือฮาขึ้นมาเพราะเมื่อกรมประชาสัมพันธ์นำเรื่องที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอมาตามคำขอของสมาชิกวุฒิสภาคนดัง ประชาสัมพันธ์ก็นำเพลงเก่าอีก 16 เพลงที่เคยโด่งดังมาแล้ว แถมเข้าไป (อ้างว่า)ให้เปรียบเทียบด้วย สื่อมวลชนได้ข่าวสัมภาษณ์ผู้เข้าประชุมมาเผยแพร่ อ้างชื่อเพลงที่เคยฟังจนหูฟั่นเฟือนไปนานแล้วมารวมด้วย เรื่องเลย "ขำกันสนั่นเมือง" นั่นแล
ความจริงนั้น เคยมีคนบ่นเรื่องเนื้อหา-ถ้อยคำ-ทำนอง-ลีลา ฯลฯเพลงที่ไม่เข้าท่ามานานแล้วว่าไม่ควรให้นำมาเผยแพร่ สมัยก่อนอาจอาศัยอำนาจ"คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์" หรือที่เรียกกันย่อๆว่า "กบว." ช่วยพิจารณาแต่พอคนทั้งหลายที่ไม่ชอบวิจารณญาณของกรรมการคณะนี้มากขึ้น คณะกรรมการถูกยกเลิกไปคงมีกองงาน ฯ ในกรมประชาสัมพันธ์ แต่ขอบข่ายพิจารณางานแคบลง ก็เลยไม่รู้จะร้องเรียนไปที่ใคร เรียกว่า "เนื้อเน่าจึ่งรู้คุณเกลือ"
คนที่เกิดมาทันเห็นยุควัฒนธรรมการวิจารณ์เฟื่องฟูหลังเหตุการณ์ประชาธิปไตยเบิกบานต้องจำได้ว่านอกจากวรรณกรรมและวรรณคดีที่มีเรื่องเชิงสังวาส เช่น "พระลอ" "กาพย์พระไชยสุริยา" ฯลฯจะถูกนักวรรณกรรมเพื่อชีวิต "สับแหลก" ถึงขั้นเรียกร้องให้มีการ "เผาวรรณคดี" แล้ว เพลงต่างๆที่แม้เป็นเพลงรักธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างเพลงที่ สุเทพ วงศ์กำแหง-สวลี ผกาพันธุ์ ฯลฯ ร้องทั้งเพลง"สุนทราภรณ์" บางเพลง ต่างถูกนักเพลงเพื่อชีวิต "สับแหลก"ไม่มีชิ้นดีทำให้วงการวรรณกรรมและวงการเพลงปั่นป่วน ถึงชะงัก ตรงกันข้ามวงวรรณกรรมเพื่อชีวิตและเพลงเพื่อชีวิตถูกผลิตขึ้นมามากมาย จนในที่สุดคนก็เบื่อ "สูตรสำเร็จ" นั้นจึงมีบางส่วนหันกลับมาเริ่มดุว่า "สายลม-แสงแดด" นั้นแท้จริงแล้วก็เป็นความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง แต่ควรแสดงออกแต่พองามในทางที่ถูกที่ควรแก่กาลเทศะและวัฒนธรรมก็จะเป็นการดี
ผู้เขียนเห็นด้วยว่า เมื่อเสรีภาพเบ่งบานจนไร้ขอบเขต ไม่มีใครควบคุมเคร่งครัดและผู้มีหน้าที่ดูแลก็"ไร้สมอง" จริงจัง วงการ "แต่งเพลงเพื่อสนองกระเป๋านายทุน" จึงสะท้อนภาพและความ "ไร้อารยธรรม-ไร้จิตสำนึกทางศีลธรรมจรรยา-ไร้สุนทรียภาพทางวรรณศิลป์และคีตศิลป์ ฯลฯ ออกมาอย่างที่น่าเป็นห่วงอย่างทุกวันนี้
ผู้เขียนยอมรับว่า แม้วรรณคดีเก่าๆ และบทเพลงเก่าๆ หลายเล่ม-หลายบทก็มีเนื้อหาเชิงโลกีย์ที่ไม่น่ายกย่องก็มีแต่โบราณาจารย์ด้านการกวีจำนวนมากท่านมักจะสื่อและสะท้อนเนื้อหาเรื่องราวทางวรรณกรรมและบทเพลงออกมาในเชิงวรรณศิลป์อย่างแนบเนียนไม่ "โพล่ง" หรือ "สำราก" ออกมาอย่าง "ทื่อ ๆ" หรือ "แสดงความร่าน" หรือ "เจตนาลามก" โจ่งแจ้ง อย่างในวรรณกรรมและเพลงสมัยใหม่บางเพลง
มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนรู้สึกยินดีที่กระทรวงวัฒนธรรมและใครก็ตามที่เริ่มหันมาเอาใจใส่การแต่งเพลงรวมทั้งการแสดงออกทางศิลปวัฒนธรรมอย่างจริงจังเสียที เพลงใหม่ๆ บางเพลงแม้ไม่มีสัมผัสนอกสัมผัสในแพรวพราวอย่างเพลงสมัยเก่า แต่ก็มีคำไพเราะและความหมายลึกซึ้งกินใจมีอารมณ์สุนทรีน่าชมเชยไม่น้อย ดังนั้น ภาครัฐจึงควรเอาใจใส่ด้วยการส่งเสริมและยกย่องบทบาทนักแต่งเพลงที่ดีมีคุณค่า รวมทั้งเอาใจใส่ดูแลสวัสดิภาพ-ให้สวัสดิการแก่ศิลปินที่ดี อย่าให้ต้องตกเป็น "เหยื่อ" และเป็น "ทาส" ขององค์กรธุรกิจโดยเฉพาะช่วยดูแล "ทรัพย์สินทางปัญญา" ของ "ศิลปิน" อย่าให้นักธุรกิจหน้า "เงิน" ขูดรีดจนเป็น"ศิลปินตกยาก" หรือเหมือน "นักเขียนไส้แห้ง" ในสมัยก่อน โครงการดีๆ อย่าง "โครงการศิลปินแห่งชาติ"และ "ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม" ที่ทำมานั้น เป็นโครงการที่มีคุณค่ายิ่งสมควรที่กระทรวงนี้และรัฐบาลควรจะเอาใจใส่ส่งเสริมดูแลให้มีคุณค่ามากขึ้น ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจกัน ก็อยากจะพูดว่า ขอให้ส่งคนที่มี "หัวใจ" และมี "กึ๋น" ทางวัฒนธรรม (อย่างปลัดกระทรวงและเลขาธิการคนปัจจุบัน) มาดูแลอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอควรก็จะเป็นการดี
ด้วยว่านักแต่งเพลงก็เป็นกวีเหล่าหนึ่งคือ "คีตกวี"ล้วนเป็นผู้ที่กลั่นกรองความคิดความอ่านผ่านสมองและหัวใจออกมาเพื่อบำรุงบำเรอให้ความสุขแก่ชนทั้งโลก จึงสมควรแก่การเอาใจใส่ดูแลให้กำลังใจเฉกเช่นพระราชปณิธานในบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ใน "อารัมภกถา" เรื่องพระนลคำหลวงว่า
กวีสง่าแม้น มณีสาร
คำเพราะคือสังวาลย์ กอบแก้ว
ควรเพิ่มพิริยการ กวีเวท เทอญพ่อ
กอปรกิจสำเร็จแล้ว ไป่ต้องร้อนตัว
อย่ากลัวถูกติพ้น เกินสมัย หน่อยเลย
ใครเยาะก็ช่างใคร อย่าเก้อ
เราไทยอักษรไทย เราแต่ง สิฮา
ใครติสิคือเส้อ ไม่รู้สีสา
นานาประเทศล้วน นับถือ
คนที่รู้หนังสือ แต่งได้
ใครเกลียดอักษรคือ คนป่า
ใครเยาะกวีไซร้ แน่แท้คนดง
เรื่องโดย : ประยอม
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51794