ประกันภัย
ผู้เสียหายที่กรมธรรม์ภาคสมัครใจไม่คุ้มครอง
ในฉบับนี้อยากจะพูดถึงตัวคนซึ่งเป็นผู้เสียหายจากรถประกัน แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บทางร่างกาย อนามัย หรือเสียชีวิต จากกรมธรรม์ภาคสมัครใจประเภท 1, 2 หรือ 3ทั้งนี้เพราะกรมธรรม์ระบุข้อยกเว้นไว้ที่จะไม่ให้ความคุ้มครองในส่วนนั้นๆเว้นแต่จะได้มีการซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมเข้าไปหรือมีประกันภัยอื่นมาอุดช่องว่างนั้น
โดยในกรมธรรม์ภาคสมัครใจจะระบุความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไว้ดังนี้"ความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย หรืออนามัย บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย ของบุคคลภายนอกซึ่งผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายและความรับผิดชอบของบริษัทต่อคนจะมีไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันต่อคนที่ระบุในตารางและความรับผิดของบริษัทต่อครั้ง ในกรณีมากกว่า 1 คน จะมีไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันต่อครั้งที่ระบุในตาราง
บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองข้างต้นนี้ไม่รวมถึงผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายต้องรับผิดชอบตามกฎหมายตลอดจนลูกจ้างในทางการที่จ้าง คู่สมรส บิดา มารดา และบุตร ของผู้ขับขี่นั้น"
การยกเว้นของกรมธรรม์ที่ไม่คุ้มครองความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้เสียหาย 2 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มผู้เอาประกัน และผู้ขับขี่ หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งอยู่ด้วยกันกับผู้เอาประกัน หรือผู้ขับขี่
2. กลุ่มลูกจ้างของผู้เอาประกันที่เกิดขึ้นในระหว่างทางการที่จ้าง
เรามาเข้าไปดูในรายละเอียดว่าเพราะเหตุใด บริษัทจึงไม่ให้ความคุ้มครองความบาดเจ็บแก่กาย อนามัยหรือชีวิตของบุคคลทั้ง 2 กลุ่ม
1. กลุ่มของผู้เอาประกัน และผู้ขับขี่หรือบุคคลในครอบครัวซึ่งอยู่ด้วยกันกับผู้เอาประกันหรือผู้ขับขี่กรมธรรม์ฉบับมาตรฐานทุกฉบับ จะให้ความคุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก ซึ่งผู้เอาประกันไปทำละเมิดกล่าวคือไปเฉี่ยว ไปชน หรือทำให้ได้รับความเสียหาย กรณีผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เสียหายเองก็ชัดแจ้งว่ามิใช่บุคคลภายนอก บริษัทประกันจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกัน
และเนื่องจากกรมธรรม์นี้ได้ให้ความคุ้มครองขยายไปถึงความรับผิดของผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยด้วย ฉะนั้นคำว่า "ผู้เอาประกันภัย" ในที่นี้จึงหมายความรวมถึงทั้ง "บุคคลที่ระบุชื่อเป็นผู้เอาประกันในตาราง" และ"ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน" ด้วย เช่น A เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน Bยืมรถยนต์คันดัง กล่าวของ A ไปใช้ และเกิดประสบอุบัติเหตุชนกับรถของ A อีกคันหนึ่ง ซึ่ง A เป็นผู้ขับขี่ทำให้ทั้ง A และ B ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ แม้ข้อเท็จจริงปรากฎว่า B จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อความเสียหาย (บาดเจ็บ)ของ A ก็ตาม แต่เนื่องจาก A เป็นผู้เอาประกันภัยตามตารางกรมธรรม์ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่คุ้มครองบริษัทจึงไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ A เป็นเรื่องของ A ที่จะไปเรียกร้องเอากับ B เอง ส่วนความบาดเจ็บของ B ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถอีกคันซึ่งได้รับความยินยอมจาก A ผู้เอาประกันในกรมธรรม์ให้ถือเสมือน B เป็นผู้เอาประกัน ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์เช่นเดียวกัน
ข้อสำคัญกรมธรรม์รถยนต์ยังขยายไปถึงบุคคลในครอบครัวซึ่งอยู่ด้วยกันกับผู้เอาประกันซึ่งโดยหลักแล้วเมื่อผู้เอาประกันทำละเมิดต่อบุคคลในครอบครัวไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องรับผิดชอบผู้เอาประกันยังคงต้องรับผิดชอบตามกฎหมายว่าด้วยละเมิด แต่ที่กรมธรรม์ระบุยกเว้นไว้ก็เนื่องจากผู้เอาประกันต้องมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวของตนอยู่แล้ว ฉะนั้น "บุคคลใครอบครัว"จึงจำกัดเฉพาะบุคคลที่ผู้เอาประกันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูเท่านั้น คือ บิดา มารดา คู่สมรสและบุตรผู้เยาว์ คำว่า "บุตรผู้เยาว์" ให้หมายความรวมถึงบุตรที่บิดาให้การรับรองแล้วไม่ว่าโดยพฤตินัยหรือนิตินัย
นอกจากนี้ คำว่า "บุคคลในครอบครัว" ให้หมายความรวมไปถึงบุคคลในครอบครัวของผู้ขับขี่ด้วย
อย่างไรก็ตามหากบุคคลในครอบครัวเดียวกันแต่มิใช่บุคคลผู้ซึ่งผู้เอาประกันหรือผู้ขับขี่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดู เช่นผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับผู้เอาประกันในทะเบียนบ้านเดียวกันนั้นเป็นญาติ หรือ เพื่อนก็ไม่อยู่ในความหมายบุคคลในครอบครัวที่บริษัทประกันภัยจะยกเว้นไม่รับผิดชอบ กล่าวคือหากเกิดความเสียหายขึ้นมา บริษัทยังคงต้องรับผิดชอบอยู่ดี
2. กลุ่มลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยที่เกิดขึ้นในระหว่างทางการที่จ้างเหตุที่กรมธรรม์ยกเว้นความรับผิดต่อลูกจ้างไว้ก็เนื่องจากเมื่อลูกจ้างได้รับอุบัติเหตุในระหว่างการทำงานในทางการที่จ้างแล้วลูกจ้างนั้นก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานอยู่แล้วส่วนลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน ซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลูกจ้างประเภทนี้ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์คือประกันยังต้องรับผิดชอบอยู่ เช่น ลูกจ้างทำงานบ้านนั่งรถไปกับนายจ้างเพื่อไปจ่ายตลาดระหว่างทางรถเกิดอุบัติเหตุลูกจ้างบาดเจ็บแม้นายจ้างจะเป็นผู้ขับขี่ บริษัทประกันก็ยังคงต้องรับผิดต่อความบาดเจ็บของลูกจ้างของผู้เอาประกัน จะปฏิเสธไม่ได้กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นเพราะลูกจ้างงานบ้านไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงาน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นลูกจ้างที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานแต่หากเหตุที่เกิดขึ้นมิใช่อยู่ในเวลาทำงาน หรืออยู่นอกเวลางาน หรือนอกการจ้างแล้วบริษัทประกันภัยจะยกข้อนี้มาปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องรับผิดชอบเต็มตามความคุ้มครองที่มีในกรมธรรม์
โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะไม่ให้ความคุ้มครองบุคคลดังกล่าวข้างต้นทั้ง 2 กลุ่ม นอกเสียจากจะได้มีการซื้อความคุ้มครองเพิ่มไว้โดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทจะระบุในเอกสารแนบท้ายติดไว้ในกรมธรรม์ เช่น รย. 01, รย.02 ซึ่งจะทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติมขึ้นมา
อย่างไรก็ตามบุคคลทั้ง 2 กลุ่ม ที่กล่าวมาทั้งหมดแม้จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประเภท 1, 2 หรือ 3แต่ในแง่ของกรมธรรม์ประกันคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปี 2535 (พรบ.) ยังให้ความคุ้มครองในความเสียหายเบื้องต้นทุกคน เพียงแต่อยู่ในพิกัดอัตราไม่สูงนักเท่านั้น คือ
1. ถ้าเป็นผู้ขับขี่จะได้เพียงค่าเสียหายเบื้องต้น 15,000 บาท กรณีบาดเจ็บ หรือตายจะได้ค่าปลงศพเพียง 35,000บาท เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ารถประกันมิใช่เป็นฝ่ายประมาท ก็จะได้รับเพิ่มเป็น 50,000 บาท กรณีบาดเจ็บ และ 100,000 บาท กรณีตายหรือทุพพลภาพ
2. ถ้าเป็นบุคคลอื่นๆ จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น 15,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลรวมกันไม่เกิน 50,000 บาทกรณีบาดเจ็บ และ 100,000 บาท กรณีตายหรือทุพพลภาพ โดยสามารถรับค่าปลงศพเบื้องต้น 35,000 บาท ภายใน 7 วัน ส่วนที่เหลือก็ไปรับเพิ่มแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
อย่างไรก็ตามค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับตาม พรบ. สูงสุดต่อคนกรณีบาดเจ็บไม่เกิน 50,000 บาทและกรณีเสียชีวิตไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ว่าจะมีการรักษาพยาบาลก่อนเสียชีวิตหรือไม่ก็ตาม
ฉะนั้นแม้จะไม่ได้ทำประกันประเภท 1, 2 หรือ 3 ไว้ก็ตาม หากได้ทำประกันภัยตาม พรบ.ไว้ก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเบื้องต้น แต่ในทางกลับกันหากทำแต่ประกันประเภท 1, 2 หรือ 3 แต่ไม่ได้ซื้อประกันพรบ. ไว้เลยก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหายบางอย่างข้างต้นเลยเช่นกันเพราะไปอยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ภาคปกติ
เพื่อความไม่ประมาท โปรดตรวจสอบกรมธรรม์ของท่านว่ามีทั้งประกัน พรบ.และประกันประเภทปกติที่มีความคุ้มครองครบถ้วน ก่อนที่จะเกิดเหตุแล้วสายเกินแก้ไข หากยังไม่ได้ทำ ประกันพรบ. ก็จงรีบไปทำโดยทำกับบริษัทเดียวกับประกันภาคปกติ เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการเคลมค่าเสียหายในโอกาสต่อไปนะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51788