บทความ
ส่วย
คำว่า "ส่วย" ในภาษาไทยนอกจากจะเป็นคำที่ใช้เรียกขานผู้คนกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งที่มีถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราโดยที่ชนกลุ่มนี้มีอาชีพและความชำนาญเป็นพิเศษในการจับและเลี้ยงช้างมาตั้งแต่ในอดีตกาลจวบจนถึงยุคปัจจุบัน
คำว่า "ส่วย" ในยุคสมัยก่อนยังหมายถึงอัตราค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายในการทำธุรกิจให้กับทางราชการอย่างเป็นทางการ มักจะใช้คำๆ นี้ควบคู่ไปกับคำอื่นๆ อีกเช่น ส่วยสาอากร หรือการชักส่วยในปัจจุบันคำนี้ได้พัฒนาการมาจนกลายเป็น ภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่างๆ
คำว่า "ส่วย" ที่ได้ยินได้ฟังกันในวันนี้ต้องขอบอกว่าไม่ได้มีความหมายใกล้เคียงกับคำนิยามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างสิ้นเชิงแต่มีความหมายที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายของบ้านเมืองขัดต่อศีลธรรมอันดีและขัดต่อความชอบธรรมของสังคมสถานเดียวเท่านั้น
คุ้นกันเป็นอย่างดีกับคำว่า ส่วยทางหลวง ส่วยบ่อนการพนัน ส่วยเทศกิจและส่วยที่ต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้กับผู้มีอำนาจตามข้างถนนหนทาง
แต่ส่วยที่กำลังดังระเบิดเถิดเทิงอยู่ในวันนี้ เห็นจะไม่มีส่วยไหนมีความสำคัญและมีความหมายมากที่สุดเท่ากับ "ส่วยอาบอบนวด"
ดังมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม จนถึงวันนี้ใกล้จะสิ้นเดือนกรกฎาคมเต็มทีแล้ว ก็ยังดังไม่เลิกและมีท่าทีว่าจะยังคงดังอย่างต่อเนื่องไปอีกนานนับเดือนทีเดียว
เมื่อนักธุรกิจเจ้าของกิจการสถานบริการอาบอบนวดรายหนึ่งที่มีกิจการสถานบริการแบบนี้อยู่มากมายหลายแห่งในหลายๆพื้นที่การควบคุมดูแลของสถานีตำรวจในเขตนครบาลออกมาแฉโพยพฤติกรรมของบรรดาตำรวจน้อยใหญ่ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับบนว่ามีการรับส่วยจำนวนมหาศาลจากเขาเพื่อความราบรื่นในการประกอบธุรกิจ
ระเบิด "ส่วย" ที่นักธุรกิจผู้นี้โยนลงมากลางวงสังคม ผลที่ตามมาในเบื้องต้น ก็คือทำให้วงการตำรวจแห่งชาติสั่นคลอนและเน่าเหม็นขึ้นมาทันทีทันใด
แล้วก็ตามมาด้วย การชำระล้างโยกย้ายสำรองราชการตำรวจในระดับใหญ่ๆ โตๆ ที่มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กันขานใหญ่
ระลอกแรก นายตำรวจระดับผู้กำกับการยศชั้นพันตำรวจเอกเจอพิษส่วยถูกโยกย้ายสำรองราชการไปแล้ว 6 นาย
ยังจะตามมาอีกเป็นระลอกที่ 2 ว่ากันว่าจะมีจำนวนถึงกว่า 30 นายที่มีตำรวจทั้งในระดับล่างจนถึงระดับบน
แล้วก็จะสรุปยอดกันอีกที ด้วยจำนวนตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกไม่น้อยกว่า 70 นายซึ่งอาจจะมีระดับสูงสุดถึงขั้นนายพลตำรวจอีกด้วย
พิษส่วยอาบอบนวดคราวนี้น่าจะต้องถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ความมัวหมองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งใหญ่ที่สุดได้ครั้งหนึ่งก็ว่าได้
เรื่องของส่วยอาบอบนวดดังจนกลบกระแสส่วยอย่างอื่นไปเสียสนิท
แต่ก็ยังอุตส่าห์มี "ส่วย" อีกเหตุการณ์หนึ่งหลุดรอดออกมาให้ได้รับรู้กันโดยไม่ได้ตั้งใจจะให้ดังจนได้
ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวๆ ข้างโรงพยาบาลจุฬา ฯ ทางด้านถนนราชดำริ ตรงข้ามกับสวนลุมพินีคงจะได้พบได้เห็นอย่างคุ้นตากับสภาพบริเวณนี้เป็นอย่างดีเพราะสภาพอย่างที่เห็นเกิดขึ้นมานมนานเต็มทีแล้วนานจนกลายเป็นความเคยชินคุ้นเคยกับสภาพร้านค้าขายอาหารที่อยู่ในรูปแบบของรถเข็นแผงลอยและหาบเร่โต๊ะเก้าอี้ที่วางเรียงรายและร่มที่กางเต็มไปหมดเป็นระยะทางบนทางเท้าไม่น้อยกว่า 100 เมตร
วันดีคืนดี โทรทัศน์ช่องหนึ่งก็มาถ่ายทำรายการทำนองเปิดเผยหรือแฉเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรตรงจุดนี้และจะโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญก็ไม่ทราบได้ในบางช่วงบางตอนของรายการได้ปรากฏภาพของเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่เรียกกันว่า "เทศกิจ" กำลังกระทำการ "เก็บส่วย" จากบรรดาร้านค้าแผงลอยและหาบเร่ในบริเวณนี้พอดิบพอดีและอย่างตำตา
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะกับเรื่องของ "ส่วยอาบอบนวด" กำลังดังระเบิดและกำลังเป็นที่สนใจของสังคมเป็นอย่างมาก
"ส่วยเทศกิจ" เรื่องระดับพื้นบ้านนอกสายตา จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมากับเขาด้วย
มีสื่อมวลชนหลายแขนงเอาเรื่อง "ส่วยเทศกิจ" ที่เกิดขึ้นที่ข้างโรงพยาบาลจุฬา ฯ ไปสอบถามขยายผลกับทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบกับหน่วยงานเทศกิจ
และก็ได้ข้อสรุปในเชิงปฏิบัติการออกมาหลังจากที่แสดงอารมณ์ไม่พอใจที่สื่อมวลชนจ้องที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ว่า จะต้องแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้ถูกจุด
ต้องแก้ปัญหา และขจัดปัญหาที่ต้นตอที่ทำให้เกิด "ส่วย"
ต้นตอปัญหาก็คือ บรรดาร้านค้าหาบเร่แผงลอยทั้งหลายนั่นแหละ ถ้าไม่มีพวกนี้เสียแล้วเจ้าหน้าที่เทศกิจก็คงจะไม่มีโอกาสที่จะไปเรียกเก็บส่วยเอากับใคร
ว่าแล้วก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปขับไล่รื้อถอนแผงลอยหาบเร่ในบริเวณข้างโรงพยาบาลจุฬา ฯ จนหมดสิ้น ห้ามมาตั้งแผงลอยหาบเร่ทำมาหากินในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด
นี่คือการแก้ปัญหา "ส่วย" ที่ได้ผลที่สุดในเชิงปฏิบัติการของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
หาบเร่แผงลอยทั้งหลายทั้งปวงที่ทำมาหากินอยู่บนทางเท้าตลอดทั่วทุกถนนในเขตกรุงเทพมหานครน่าจะต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวเอาไว้ด้วย
ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงจะต้องเจอเข้ากับปฏิบัติการเชิงบูรณาการแบบนี้แน่
วงการรถยนต์ในบ้านเราต้องนับว่าโชคดีเอามากๆ
โชคดีที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนนี้ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพ ฯ
ถ้าท่านมีอำนาจหน้าที่ ท่านอาจจะหาทางแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพ ฯในเชิงบูรณาการแบบนี้ก็ได้ เมื่อเห็นว่าต้นตอหรือต้นเหตุของการติดขัดทางการจราจรก็คือยวดยานพาหนะรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนจนเต็มไปหมดนี่เองเป็นตัวการ
ขจัดรถยนต์ให้หมดไปจากท้องถนนให้หมดสิ้น ปัญหาการจราจรติดขัดย่อมจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนห้ามซื้อห้ามขาย ห้ามเอารถยนต์มาวิ่งบนท้องถนนคือวิธีการที่สัมฤทธิ์ผลตรงจุดที่สุด
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51764