รอบรู้เรื่องรถ
ระวังรถ "เครื่องใหญ่"!
รถเครื่องใหญ่กำลังทยอยออกมาล่อใจนักซื้อรถชาวไทยกันรุ่นแล้วรุ่นเล่าดูตัวเลขความจุของเครื่องยนต์และกำลังรวมทั้งเทียบราคากับรุ่นเครื่องเล็ก ไม่ว่าจะเป็น "ยี่ห้อ" หรือตราเดียวกันหรือไม่ ผสมกับเงื่อนไขล่อใจหลายๆ อย่าง ก็ทำให้นักซื้อรถใหม่จำนวนไม่น้อยรีบลงชื่อสมัครเป็นทาสสถาบันการเงินกันอย่างอิ่มเอิบใจ โดยไม่รู้เลยว่าหายนะกำลังรออยู่ข้างหน้า
จะโทษผู้ผลิตรถขายก็ไม่ถูกครับ เพราะเขามีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ได้หลายรุ่นผมว่าระยะหลังนี้น่าชมเชยมากกว่า ที่ตั้งราคารุ่นเครื่องยนต์ใหญ่ไว้ในระดับที่สมเหตุสมผลไม่สูงลิ่วเหมือนสมัยก่อน
ผมเคยอธิบายสาเหตุของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไว้ในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้วว่ามาจากน้ำหนักของรถและพื้นที่หน้าตัดตามขวางของรถ รวมกับความเพรียวลมที่ใช้สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเป็นตัวกำหนด รู้จักกันในชื่อ "ค่าซีดี" น้ำหนักรถมีผลต่อการกินน้ำมันตอนเร่งความเร็ว ซึ่งต้องใช้พลังงานจากเชื้อเพลิง
ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า "น้ำมัน" พอได้ความเร็วคงที่แล้วพลังงานที่ต้องใช้ในการรักษาความเร็วไว้ ก็ยังต้องมาจากน้ำมันอยู่ดี เพื่อ "สู้" หรือหักล้างกับแรงเสียดทานที่ล้อกลิ้งไปบนถนน แรงนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงที่ยางถูกกดกับผิวถนน ซึ่งก็คือน้ำหนักรถนั่นเอง พลังงานที่ใช้ในตอนเร่งจะถูกทำลายทิ้งไปเมื่อเราเบรค กลายเป็นความร้อนที่จานเบรคและผ้าเบรค พลังงานนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลหรือน้ำหนักของรถโดยตรงเช่นเดียวกัน
ส่วนแรงต้านอากาศนั้น เกิดขึ้นตลอดเวลาที่รถเคลื่อนที่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัดตามขวางและความเพรียวลมของรูปทรงแต่ที่มีอิทธิพลต่อแรงต้านอากาศมากที่สุด คือความเร็วของรถครับ และไม่เพิ่มตามส่วนด้วยแต่เพิ่มตามความเร็วยกกำลังสอง นั่นคือแรงต้านอากาศของรถคันเดียวกันที่ความเร็ว 120 กม./ชม. จะมีค่า 4 เท่าของที่ความเร็ว 60 กม./ชม.
แต่ประเด็นที่เราสนใจในความนี้ก็คือ ถ้าเป็นรถรุ่นเดียวกัน แต่เครื่องยนต์ขนาดต่างกันใช้งานในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน จะกินน้ำมันต่างกันหรือเปล่า ถ้าต่างกัน มากแค่ไหน ? คำว่า "เครื่องใหญ่" ในที่นี้ของผม ไม่ใช่แค่ใหญ่กว่านะครับ ต้องใหญ่กว่าพอสมควร คือไม่ใช่สองสามร้อยซีซีแต่ควรจะต่างกันหลายสิบเปอร์เซนต์ในการเปรียบเทียบ เช่น ระหว่าง 2,000 ถึง 2,200 ซีซี เปรียบเทียบกับ 3,000 ซีซี
ถ้าตอบคำถามนี้เลยอย่างสั้นๆ ก็ต้องตอบว่ากินน้ำมันมากกว่าแน่ และมากเอาการด้วยถ้าตัวการสำคัญที่ทำให้รถต้องใช้พลังงานจากน้ำมันในการเคลื่อนที่อยู่ที่น้ำหนักของรถและแรงต้านอากาศแล้วรถเครื่องใหญ่จะกินน้ำมันมากกว่าได้อย่างไรในตัวถังเดียวกัน ? พลังงานที่ใช้สู้กับแรงต้านอากาศนั้นต้องเท่ากันอยู่แล้วนะครับระหว่างรถทั้งคู่ของเรา เพราะตัวถังเป็นรุ่นเดียวกัน ส่วนน้ำหนักนั้นรุ่นเครื่องใหญ่จะมีน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย เพราะเครื่องยนต์มีน้ำหนักมากกว่าและรุ่นนี้มักจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่ารุ่นเครื่องเล็กนอกนั้นก็เป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากชิ้นส่วนที่ต้องเพิ่มความแข็งแรง เช่น ฟันเฟือง เพลา
ตัวการอยู่ที่เครื่องยนต์อยู่แล้วนะครับ ชิ้นส่วนภายในต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นย่อมทำให้แรงเสียดทานสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และก็ต้องใช้พลังงานในน้ำมันเชื้อเพลิงมา "สู้" แต่ที่สำคัญกว่าคือเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ถูกออกแบบมาให้ใช้กำลังมากกว่าเครื่องเล็กพอเอามาให้มันออกแรงน้อย มันก็จะทำงานในย่านที่มีประสิทธิภาพต่ำครับ คือ "ให้" พลังงานในการขับเคลื่อน ไม่สมกับที่มัน "กิน" น้ำมัน ถึงเอามาขับช้าเท่ารุ่นเครื่องเล็กในเมืองรุ่นเครื่องใหญ่ก็จะกินน้ำมันมากกว่าพอสมควร
คราวนี้มาถึงส่วนที่ไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โดยตรง เพราะมีวิธีขับเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยพอมีรถเครื่องใหญ่แรงดีขับ เราก็จะไม่เร่งความเร็วในอัตราเดียวกับที่ขับรุ่นเครื่องเล็กแล้วถึงเราจะขับแบบเดียวกัน คันเครื่องใหญ่ก็จะปรูดปราดกว่าตอนเร่งก็จะสูญเสียพลังงานไปในทอร์คคอนเวอร์เตอร์ของเกียร์อัตโนมัติมากกว่าก็ย่อมกินน้ำมันมากกว่าแน่นอน พอเร่งได้เร็วทันใจกว่า ก็จะเร่งบ่อยและเร่งเกินควรแล้วก็จะต้องเบรคบ่อยขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็คือการทำลายพลังงานที่ใช้ตอนเร่งนั่นเอง สภาวะต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้รถเครื่องใหญ่กินน้ำมันมากกว่าอย่างมาก เมื่อถูกใช้งานในเมืองในสภาวะเฉลี่ยทั่วๆไปที่ใช้กัน ส่วนต่างนี้จะอยู่ที่ 30 ถึง 50 % สบายๆ ครับ ถ้าใช้ในเมืองที่ "รถติด" ล้วนๆก็อาจเกือบเท่าตัว เอาเงินนี้ไปทำอย่างอื่นดีกว่าครับ
ดูเหมือนจะมีสภาวะเดียว ที่รถเครื่องใหญ่กินน้ำมันพอๆ กับรุ่นเครื่องเล็ก นั่นคือขับที่ความเร็วคงที่ เช่นขณะเดินทางไกล เนื่องจากมีแรงบิดสูงกว่า ผู้ผลิตก็เลยเลือกอัตราทดต่ำกว่าได้เพื่อลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์และเพื่อไม่ให้กินน้ำมันมากเกินไปด้วย แต่สภาวะนี้เกิดขึ้นจริงๆน้อยครับ เพราะทางด่วนของเราก็ "ติด" ทั้งเช้าทั้งเย็น
ที่จริงแล้ว ใครที่สู้ค่าน้ำมันของรุ่นใหญ่ไม่ไหว ก็น่าจะ "ไม่ไหว" ตั้งแต่การเพิ่มเงินเพื่อซื้อรุ่นเครื่องใหญ่แล้วนะครับ แต่พวกเราส่วนใหญ่ เป็นพวกมือเติบ "ใจเติบ" กันมาจนชินแล้ว เลยไม่มีความพิถีพิถันในการซื้อรถเมื่อไรพร้อมที่จะซื้อ ก็ดูราคาว่ากี่แสนมีเงินหรือเครดิทพอไหม ยี่ห้ออะไร สวยไหม หาคนใกล้ชิดยุให้เชื่อมั่นอีกหน่อย ก็เดินไปซื้อได้แล้วใครที่ซื้อเงินสดไม่ไหว ต้องยอมรับก่อนว่าเงินแต่ละแสนนั้นมีค่าครับไม่ใช่บอกว่าล้านห้าก็ไม่ต่างจากล้านสองเท่าไร แล้วล้านแปดก็คงต้องเหมือนๆ ล้านห้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย
บางคนเล่นเทียบบัญญัติไตรยางค์ แล้วบอกว่าเพิ่มเงินอีก 25 % ก็ได้เครื่องใหญ่ขึ้น 25 % เหมือนกันยุติธรรมดี ไม่ได้นะครับต้องบอกตัวเองว่าใช้รุ่นเครื่องเล็กก็พอ แทนที่จะซื้อรุ่นเครื่องใหญ่แล้วส่วนต่างสามแสนบาท (ในตัวอย่าง) เอามาเติมน้ำมัน (เสมือนได้ฟรี) ได้ 5 ปียังไม่คิดเงินค่าน้ำมันส่วนต่างที่รุ่นเครื่องใหญ่มันจะสูบจากกระเป๋าเราไปอีกตลอดเวลาหลายปีที่ใช้รถนี้ซึ่งผมว่าส่วนต่างนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าสองแสนบาท ในเวลา 5 ปี ที่ใช้รถนี้ (ในตัวอย่างเท่านั้นครับ)
ผมว่าถึงเวลาแล้วที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะกำหนดมาตรฐานความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยของรถใหม่ทุกรุ่นที่ขายในประเทศไทย ทำนองเดียวกับมาตรฐานไอเสีย ไม่ต้องมากครับเป็นค่าเดียวที่ประยุกต์วิธีวัดของประเทศอุตสาหกรรมหลายๆ ประเทศให้เหมาะสมกับการจราจรของไทย เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสพิจารณาและยังเป็นการปลุกจิตสำนึกด้านการประหยัด (เงินและพลังงาน) ของชาวไทยซึ่งขาดอย่างยิ่งยวดด้วย
เกือบลืมสรุปไปครับ เพราะยังไม่ได้ตอบใช้ชัดว่า ใครควรจะซื้อรุ่นเครื่องใหญ่ก็ผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินสิครับ มันเป็นความสะดวกสะบายขึ้น ที่ต้องแลกกับเงินมากพอสมควรสำหรับผู้ที่ไม่พร้อมในวันนี้ บอกตัวเองว่าแค่ยังไม่พร้อมครับ วันหน้ายังมีโอกาส ใช้ชีวิตอย่างคน "คิดเป็น" ขวนขวายและมีความหวังเสมอ น่าจะดีที่สุดครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51760