รอบรู้เรื่องรถ
อย่ากลัวรถวิ่งเกิน 100,000 กม.
เมื่อไม่นานมานี้ผมเคยเขียนถึงกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ที่นิยมใช้ระยะทาง 5,000 กม. ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ปราศจากเหตุผลใดๆ มารองรับทั้งสิ้นสาเหตุที่ได้รับความนิยมเป็นเพราะความมีตัวเลขที่เท่ากับ "ครึ่งหมื่น" เท่านั้นเอง มิได้มีเหตุผลทางเทคนิคแม้แต่ข้อเดียวตัวเลขระยะทาง 100,000 กม. ที่รถถูกใช้งานไปแล้วก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนที่ใช้รถในทำนองเดียวกัน ใครที่หาซื้อรถใช้แล้วสักคันที่ให้ความรู้สึกว่ายังใหม่หรือยัง "สภาพดี" ก็จะกลัวตัวเลข 6 หลักนี้กันเหลือเกิน เพราะลือและเชื่อต่อๆกันมาว่า รถที่ถูกใช้มาเกิน 100,000 กม. แล้ว เครื่องยนต์จะต้องเริ่ม "หลวม" ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์หลายๆ อย่างต้องหมดหรือใกล้หมดอายุ
ไร้สาระทั้งนั้นครับก่อนอื่นใดตัวเลขระยะทาง 100,000 กม. นี้ก็มิได้มีความสัมพันธ์อะไรที่ "พิเศษ" ต่ออายุใช้งานของชิ้นส่วนใดๆ ในรถของพวกเราแม้แต่ชิ้นเดียว ผมเคยอธิบายเรื่องความ "ไม่พิเศษ" ของตัวเลขเหล่านี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว ในตอนที่เขียนเรื่องกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
คราวนี้เลยขอรวบรัดอย่างย่อครับบรรดาตัวเลขที่เราเห็นว่ามัน "กลม" "เต็ม" "ครบ" หรือ "สวย" เหล่านี้นั้น ล้วนเป็นความบังเอิญจากการที่มนุษย์เราเลือกจำนวนนิ้วมือ เป็นฐานในการนับจำนวนแล้วระยะทาง 1 กม. ก็ถูกเลือกให้เท่ากับ 1 ใน 40 ล้านส่วนของเส้นรอบวงของโลกที่ลากผ่านกรุงปารีสปัจจุบันเทคนิคการวัดแม่นยำขึ้น เลยทราบว่าคลาดเคลื่อนไปพอสมควรแต่ก็ยังเอาไปใช้งานทั่วไปได้ครับว่า เส้นรอบวงของโลกยาวประมาณ 40,000 กม. ถึงตรงนี้ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า ระยะทางเป็นกม. ที่มีเลขศูนย์ตามหลังล้วนไม่มีหมายพิเศษอะไรเลยเพราะฉะนั้นการเอามาโยงกับอายุใช้งานของอุปกรณ์เทคนิคอย่างชิ้นส่วนในรถยนต์ยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระหนักเข้าไปอีก
เลิกกังวลหรือสนใจได้เลยครับว่ารถของเราหรือรถของใครที่จะซื้อหรือใช้อยู่จะวิ่งไปครบหนึ่งหรือสองแสนหรือยังแน่นอนว่าชิ้นส่วนที่มีการสึกหรอขณะใช้งาน ย่อมมีอายุใช้งานของมันจำกัดอยู่ส่วนชิ้นส่วนที่ไม่มีการสึกหรอก็จะมี "อายุ" จริงๆ คือนับเป็นเวลาว่ากี่เดือนกี่ปีจึงจะเสื่อมซึ่งก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน คือไม่ได้มีเขตแดน อยู่ตรงเลย "สวย" หรือเลขสองหลักเต็มๆ เช่นครบ 10 ปี
มาดูประเภทสึกหรอตามระยะทางที่ใช้งานกันก่อนครับ เครื่องยนต์เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถทุกคนไม่ว่าจะสนใจหรือไม่สนใจ ทราบกันดีจากสามัญสำนึกว่าสำคัญมากแต่ที่จริงยังเป็นรองระบบเบรคครับ เพราะเครื่องยนต์เสื่อมหรือทำงานไม่ได้ ไม่ก่อให้เกินอันตรายถ้าจำเป็นต้องประมาณ ผมคิดว่าช่วงเวลาที่เครื่องยนต์ของรถเก๋งมีอายุใช้งานราวๆ 100,000 กม. คือเมื่อ 35 ถึง 40 ปี ที่แล้ว และเพิ่มขึ้นเรื่อยตามคุณภาพของโลหะ ความแม่นยำของเครื่องมือที่ใช้ผลิตและตามคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นด้วย มาถึงวันนี้น่าจะอยู่ที่เกือบ 300,000 กม. เป็นค่าเฉลี่ยนะครับซึ่งหมายความว่าเครื่องใดที่หลวมที่สองแสนต้นๆ ถือว่าแย่มาก และเครื่องยนต์ที่ใช้ได้ถึงราวๆ 350,000 กม. ก็ไม่ถือเป็นของหายาก ถ้าเกิน 400,000 กม. (เลือกให้อ่านสบาย คิดสบายเท่านั้นครับไม่ได้มีความ "พิเศษ") ถือได้ว่าค่อนข้างทน ถ้าพบเครื่องยนต์ที่ยังใช้ได้ดีหลัง 500,000 กม. (หลัง 480,000 หรือ 490,000 กม. ก็เหมือนกัน) เราก็ต้องถือว่ามันทนทานเป็นพิเศษ และต้องชมผู้ใช้ด้วยว่าขับและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง
ชอคอับฯ หรือแดมเพอร์ ก็มีอายุใช้งานตามระยะทางแต่ขึ้นอยู่กับผิวถนนเป็นอย่างมากครับผมว่าน่าจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ถึง 9 หมื่นกม.คือถ้าผิวถนนแย่ๆ คนขับไม่ถนอมรถ คือไม่หลบและไม่เบรคลดความเร็วตามสภาพถนน ก็อาจเหลือเพียง 50,000 กม. ถ้าเดินทางไกลเป็นหลักบนถนนสายหลักผิวดี และขับไม่เร็วมาก ก็อาจมีอายุใช้งานถึง 130,000 ถึง 140,000 กม.
คงพอจะเห็นภาพได้พอสมควรนะครับใครที่เข้าใจแล้ว ก็คงจะเลิกคิดเลิกพูดถึงรถว่าวิ่งถึงหรือยังไม่ถึง 100,000 กม. อีกต่อไปเพราะมันไม่มีความหมายใดๆ เลยแต่ในเมื่อคนไทยยังนิยมเชื่อเรื่องที่ "เขาว่า" กันอย่างเมามันไม่ยอมเลิกราก็จะต้องมีผู้ถูกหลอกอีกมากมาย เพราะนักขายรถใช้แล้วจะรู้จุดอ่อนนี้ดี ลองไปดูตาม "เตนท์" ขายรถได้ครับ เราจะไม่พบรถที่ใช้มาเกิน 100,000 กม. ส่วนใหญ่จะถูก "เขี่ย" หรือ "หมุน" ให้เลขระยะทางอยู่ที่ประมาณ 70,000 กม. น้อยกว่านี้คงไม่มีใครอยากเชื่อแล้วครับ
ที่ผมแปลกใจอย่างยิ่งก็คือ ทำไมคนเราชอบเชื่อไปในทางที่ "เสียเปรียบ" หรือไปในทางที่ "โง่" ทำไม่ไม่ชอบเชื่อในอีกด้านที่ "ฉลาด" ที่ไม่เสียรู้คนชั่วแล้วบรรดา "หมู" เหล่านี้ก็มักเล่าเรียนกันมามากวุฒิการศึกษาสูงๆ กันทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยครับผมกลับพบว่าพวกที่รู้เท่าทัน กลับเป็นเด็กๆ อายุสิบขวบเศษ น่าเศร้าใจครับเสร็จแล้วมาบ่นทีหลังว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งเหล่านี้ใช้เพียงสามัญสำนึกตัดสินก็พอครับถ้าคนกลุ่มนี้คิดเป็นหรือขยันคิด เราก็คงไม่ได้เห็นได้ยินโฆษณาขายหรือคำกล่าวอ้างสำหรับหลอกเด็กอมมือเหล่านี้ "เจ้าของไปนอก" "รถหมอ" "ผู้หญิงใช้มือเดียว" (คงมือด้วนไปข้างหนึ่ง)
เวลาผมตรวจสอบรถใช้แล้ว ที่เพื่อนฝูงหรือญาติมิตรจะซื้อผมจะบอกคนขายก่อนเลยว่าผมไม่ถามและไม่ดูตัวเลขด้วย (ไม่ดูจริงๆ ครับ) ว่ารถนั้นถูกใช้มากี่ กม. แล้ว เพราะมันถูกเขี่ยให้เป็นเท่าไรก็ได้แม้แต่รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบไฟฟ้าก็ปรับให้ขึ้นเลยตามที่เราต้องการได้ครับบางรายทำไม่เป็นลงทุนเปลี่ยนชุดหน้าปัดใหม่เลยก็ยังคุ้ม
เพราะราคารถยังอยู่ในระดับล้านบาทคราวนี้จะแต่งนิยายอะไรก็ได้เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้และประสบการณ์พอ ไม่ต้องทราบตัวเลขครับ ถ้าขับแล้วกำลังยังดีเร่งเครื่องยนต์ขณะร้อนวัดหลังปล่อย "เดินเบา" ไว้สัก 2 นาที ถ้าไม่มีควันสีเทาอ่อนให้เห็นปลายท่อไอเสียด้านในยังแห้ง ถ้าเป็นไปได้ขอวัดความดันทุกสูบ (นิยมเรียกกันว่าวัด "กำลังอัด")แล้วค่ายังอยู่ในเกณฑ์ ก็สรุปได้ว่าเราสามารถใช้รถนั้นไปได้อีกอย่างน้อยเกือบแสนกิโลเมตรก็เหลือเฟือแล้วครับ ไปดูอย่างอื่นช่วนในการตัดสินใจได้เลย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51731