ชีวิตคือความรื่นรมย์
วันแม่-ดอกมะลิและเพลงค่าน้ำนม
เมื่อใกล้จะถึงเดือนสิงหาคม สิ่งที่คนไทยไม่เคยลืมคือ ความสำคัญของ "วันแม่" ซึ่งทางราชการกำหนดเอาวันที่ 12 สิงหาคมอันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นวันสำคัญนี้หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ สถาปนาเป็น "สมเด็จพระบรมราชินีนาถ" ภายหลังที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงผนวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ช่วงเวลาหนึ่ง
ผู้เขียนจำได้ว่า ตอนผู้เขียนยังเด็ก "วันแม่" ยังเป็นวันที่ 15 เดือนเมษายนอยู่
ที่จำได้อีกอย่างหนึ่งคือ มีคนเขียนกลอน (ซึ่งต่อมาได้พบ และรู้จักจนกลายเป็นเพื่อนรักกัน) 2 คนเขียนบทกลอนเข้าประกวดในวันแม่ ได้รับรางวัลในการประกวดระดับชาติ (คนละปี) คือ วินัย ภู่ระหงษ์ และ ภิญโญ ศรีจำลอง
ตอนที่ 2 คนนั้น เขียนบทกลอนส่งประกวดและได้รับรางวัลนั้นผู้เขียนยังเขียนกลอนเป็นกลอนหน้าต่าง-กลอนประตูอยู่เลย
ภิญโญ ศรีจำลองเป็นชาวนครศรีธรรมราช ตอนนั้นคงอยู่ ไม่ ม. 7 ก็คง ม. 8 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่มีเพื่อนร่วมชั้นชื่อ วิจิตร ศรีสอ้าน ชาวบางปะกงซึ่งปัจจุบันคือผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ศ. ดร. วิจิตร ศรีสอ้าน สส. บัญชีรายชื่อแห่งพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อตอนที่เพื่อนชื่อวิจิตร ปิ่นจินดา (หรือที่ใช้นามปากกาเจษฎา วิจิตร- เพื่อนผู้ล่วงลับไปแล้ว) รวมกลอนชื่อ "ชะบา" โดย 10 นักกลอนหนุ่มในปลายปี 2502 ต่อต้นปี 2503 นั้น ภิญโญ ได้นำกลอนที่ "ชนะเลิศคำขวัญวันแม่ปี 2498"มารวมไว้ดังนี้
"ถึงอุ่นแสงแห่งสูรย์จำรูญหล้า
ถึงแจ่มจ้าจันทร์จรัสรัศมี
ไม่ช่วยให้ได้ชื่นรื่นฤดี
เสมือนมีแม่ได้อยู่ใกล้ชิด"
"ปราชญ์โบราณขานถ้อยว่าร้อยชู้
ก็สุดสู้เมียอันเป็นขวัญจิต
ร้อยเมียดีมีอยู่เป็นคู่คิด
สุขชีวิตไม่เทียบเปรียบแม่ครอง"
"ความรักในใจแม่มีแก่บุตร
บริสุทธิ์แน่นหนักล้ำรักผอง
สละสิ่งสุขจิตไม่คิดปอง
ชีพแม่ต้องทุกข์ยากมากประการ"
"ให้กำเนิดลูกน้อยคอยปกป้อง
ไม่ให้พ้องพานทุกข์สบสุขศานติ์
พระคุณล้นท้นฟ้าสุธาธาร
สิ่งใดปานเปรียบได้นั้นไม่มี"
"ขอแม่ได้ทราบคำลูกรำลึก
จดจารึกเป็นกลอนอักษรศรี
แม้ลูกเพียรเขียนสารสักล้านปี
ไม่ถึงที่สุดคำพร่ำพระคุณ"
ถ้าผู้เขียนเป็นกรรมการก็เชื่อว่าจะเทใจให้เต็มร้อยแก่กลอนบทนี้ เพราะแม้อ่านมากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวแล้วถึงอ่านวันนี้ก็ยังน้ำตาคลอตาอยู่เสมอ
น่าเสียดายแต่กลอนของเพื่อนรักสนิทยิ่งกว่าญาติอย่าง วินัย ภู่ระหงษ์ ที่ใครๆ โดยเฉพาะท่านอาจารย์ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงกับขอพบตัว พร้อมมอบรางวัลพิเศษให้อีกต่างหากโดยท่านเห็นว่าคงเป็นเชื้อสายทางพ่อของ พระสุนทรโวหาร(ภู่) หรือ สุนทรภู่ด้วยเป็นชาวเมืองแกลงจังหวัดระยอง แถมนามสกุลว่า "ภู่ระหงษ์" น่าจะเป็นจริงอีกด้วยแต่เมื่อเข้าเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยกันในปี 2499 นั้น เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเขียนอย่างไรบ้าง
เมื่อกล่าวถึง "วันแม่" ซึ่งคงเริ่มปฏิสนธิพร้อม "กระทรวงวัฒนธรรม" ที่เริ่มตั้งสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ หรือก่อนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 นั้น ท่านคือ หลวงพิบูลสงคราม หนึ่งในคณะผู้ก่อการ) ก็มีสิ่งที่ต้องกล่าวถึงสัญลักษณ์ของวันแม่คือ "ดอกมะลิ" ซึ่งเป็นดอกไม้ที่เหมาะมาก เพราะมะลิเป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์เหมือนความรักของแม่ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด หอมหวานนุ่มนวล และมะลิก็เป็นไม้เถาที่อดทนต่อดินฟ้าอากาศเหมือนความอดทน-อดออมในสัญชาตญาณความเป็น "มารดา" ของหญิงทุกคนบนโลกนี้ (โลกอื่นยังไม่รู้เพราะยังไม่เคยศึกษา) หาได้ง่ายเหมือน "เพศแม่" ซึ่งเป็นคุณสมบัติของหญิงทุกคนไม่ว่าหญิงชาติใดภาษาใด
แม้ว่าผู้เขียนจะกำพร้าแม่เมื่ออายุ 16 ปี แต่ก็กำพร้าพ่อเมื่ออายุ 7-8 ขวบชีวิตจึงผูกพันกับแม่และพี่สาวคนเดียวที่ทำหน้าที่แทนแม่มาจนวันที่พี่จากไป ถึงขณะนี้เวลาได้เห็นโรงเรียนหรือสถาบันใด จัดให้เยาวชนมาทำพิธีกราบแม่ในวันแม่ก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งถึงน้ำตารื้นขึ้นมาทุกที
ยิ่งในช่วงวันแม่นั้น เราจะได้ยินเพลงที่กล่าวถึง "พระคุณของแม่" ซึ่งฟังทีไรก็ตื้นตันใจได้ทุกเวลายิ่งเวลาที่มีลูกของตนเองแล้ว ก็รู้สึกเห็นใจผู้ที่เป็นแม่มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเพลง "ค่าน้ำนม" ซึ่ง ครูไพบูลย์ บุตรขัน ครูเพลงชั้นเยี่ยมได้แต่งทั้งเนื้อร้องและทำนองเสียดายที่ท่านสิ้นชีวิตไปก่อนที่ทางราชการจะเริ่มมีโครงการ"ศิลปินแห่งชาติ" ซึ่งใครๆ ก็แน่ใจว่า ถ้าท่านมีชีวิตยืนยาวต่อมาสักไม่กี่ปี เกียรตินั้นคงมาถึงท่านเป็นแน่นอน เพลงนี้ถ้าใครได้ฟังแล้วน้ำตาไม่ซึมนับว่าเป็นคนใจแข็งเกินปกติ...ยิ่งได้ฟังจากต้นฉบับที่ ชาญ เย็นแข ผู้ได้อัดแผ่นเสียงด้วยเพลงนี้เป็นครั้งแรกและคนแรก ฟังคราใดก็จับใจจนอยากร้องไห้ในครนั้นด้วยซึ้งในความรักของแม่และเสียงนุ่มนวลอันเป็นอมตะของผู้ร้อง
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้า โอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล
ไม่ห่างหันเหไปจนไกล
"แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ
เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่
นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม"
"ควรคิดพินิจให้ดี
ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน"
"ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกหวัง
แต่เมื่อหลังเปรียบดั่งผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น
หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย"
ครูไพบูลย์ยังมีเพลงซึ้งๆ ทำนองนี้อีกหลายเพลง ซึ่งเป็นเพลงอมตะไม่แพ้กันเช่น "พระคุณของแม่" หรือเพลง "ใครหนอ" เพลงหลังนี้ที่คนร้องกันทั่วไปทั่วบ้านทั่วเมืองตอนสำคัญว่า
"จะเอาโลกมาทำปากกา
แล้วเอานภามาแทนกระดาษ
เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด
ประกาศพระคุณไม่พอ"
อันเป็นบทกวีวรรคทองของศิลปินแห่งชาติ สุรพล โทณะวณิก ผู้มีหัวใจหนุ่มโรแมนติคเสมอคนนั้น
วันเวลาแห่งการกราบรำลึกถึงแม่มาถึงอีกแล้ว มนุษย์ยังคงกราบรำลึกพระคุณแม่ให้มากกว่าปกติแม้ว่าจะได้กราบรำลึกอยู่แล้วทุกค่ำคืนก็ตาม
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51718