ร่มไม้ชายศาล
"ตายเพราะรถหรู"
ระยะนี้ถ้าไม่เอ่ยถึงผู้มีอิทธิพลถือว่าเชยไปหน่อย ก็มีผู้ลงความเห็นว่ารถมีนีบัส?ซึ่งวิ่งอยู่ในเมืองกรุงน่าจะเข้าข่ายผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียเหมือนกัน ซึ่งรวมถึงผู้ที่เป็นเจ้าของด้วย
เพราะทุกวันนี้รถมีนีบัสยังเป็นตัวอันตรายในท้องถนน ปาดซ้ายป่ายขวา พร้อมที่จะตื้บผู้โดยสารให้ตายหยังเขียดเหมือนเดิม
ยังไงขอฝากรัฐบาลนี้ช่วยปราบปรามผู้มีอิทธิพลซึ่งมาในรูปของผู้ประกอบการรถมีนีบัสด้วยก็แล้วกัน
อ้อ เจ้าของรถแทกซีที่เป็นนายทุนก็น่าจะเข้าข่ายผู้มีอิทธิพลด้วยนะเอ้อ สำหรับรายที่ซิกแซกเอาชื่อคนขับมาเป็นเจ้าของรถป้ายเหลืองแบบหลอกๆ มีรถแทกซีในครอบครองเป็นสิบเป็นร้อยคันเพื่อขูดรีดค่าเช่า
รัฐบาลลองเหล่ดูก็แล้วกันว่า เข้าข่ายผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายหรือเปล่า ควรยึดทรัพย์หรือเปล่านะท่านนะ งานนี้คนขับแทกซีเขาฝากมา
เข้าสู่รายการปกติของเราอย่างเคยซะที เป็นเรื่องของเคราะห์กรรมที่เกิดจากการใช้รถหรู ทำตัวหรู
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อคนใจทรามรวม 4 คน เล็งเห็นว่า?นายฟู่ฟ่า?ซึ่งเป็นนักธุรกิจเข้าขั้น ขี่รถเบนซ์สวมเครื่องประดับทองหยองแหวนเพชรแพรวพราว ล่อตาล่อใจเหลือหลาย จึงพากันวางแผนให้ 1 ใน 4 ซึ่งเป็นผู้หญิงคือ นางออเซาะ?โทรศัพท์หลอก นายฟู่ฟ่า ว่าจะติดต่อทำธุรกิจด้วย
นายฟู่ฟ่า ไม่ระแวงแคลงใจว่าตนเองจะชะตาขาด จึงชวนเลขาคนสวยคือ นส. โอบอุ้ม?ไปด้วยเพื่อช่วยกันเจรจา โดย นายฟู่ฟ่า แต่งองค์ทรงเครื่องแบบคนมีสตางค์อย่างว่า พร้อมทั้งขี่รถเบนซ์คันงามไปพบนางออเซาะ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองกรุงตามที่นัดหมาย
พอเจอ นางออเซาะ ก็เหมือนเจอโจรชั่ว พรรคพวกที่เป็นผู้ชายอีก 3 คนในจำนวนนั้นมี นายเอื้ออาทรซึ่งไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของพรรคไทยรักไทยเพราะตอนนั้นพรรคนี้ยังไม่เกิดรวมอยู่ด้วย มันเอาอาวุธมีดปืนจี้บังคับ นายฟู่ฟ่า และนส. โอบอุ้ม พาตัวขึ้นรถเบนซ์ของ นายฟู่ฟ่า นั่นแหละไปที่โรงแรมแถวเขาใหญ่ปากช่อง
เข้าห้องพักเรียบร้อยมันก็ลงมือฆ่า นายฟู่ฟ่า และเลขา ด้วยการบังคับให้กินยานอนหลับ แล้วเอาผ้าปูที่นอนรัดคอจนตายทั้งคู่ ต่อจากนั้นก็ปลดเอาทรัพย์สินและขับรถเบนซ์ของเหยื่อไปปักษ์ใต้ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม
เจ้ากรรมไปจวนจะถึงนครศรีธรรมราช สายพานหม้อน้ำขาด ฝาสูบแตก ไม่รู้ว่าคนตายเฮี้ยนหรือเปล่า มันยังลงทุนจ้างรถสองแถวเพื่อลากไปไว้ที่ปั๊มน้ำมัน เจ้ากรรมเชือกที่ลากรถขาดผึง รถเบนซ์ไถลไปทิ่มท้ายรถสองแถวเข้าให้เฮี้ยนอีกกระมัง
พวกมันยังถูลู่ถูกังลากไปทิ้งไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง เข้าใจว่าเพื่อสะกดความเฮี้ยน แล้วคนร้ายก็แยกย้ายหลบหนีทำยังกับว่าประเทศไทยไม่มีตำรวจไม่มีกฎหมาย
ตำรวจเอาจริงซะอย่าง สืบสวนจนรู้เบาะแสว่า นางออเซาะ เป็นนางนกต่อและร่วมขบวนการโหดปล้นฆ่า นายฟู่ฟ่ากับพวก จึงตามล่าลากคอมาได้ในตอนแรก 3 คน รวมทั้ง นางออเซาะ ด้วย คนร้ายให้การรับสารภาพศาลตัดสินลงโทษคนทั้ง 3 เรียบร้อยไปแล้ว จึงจับตัว นายเอื้ออาทร ได้รายสุดท้ายเป็นคดีนี้
จำเลยคือ นายเอื้ออาทร ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมในชั้นสอบสวน บรรยายรายละเอียดทั้งหมด ตำรวจจดบันทึกไว้ในสำนวน นายเอื้ออาทร ยังไปขอขมาภรรยาของ นายฟู่ฟ่า ด้วย
พอถึงเวลาให้ไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ นายเอื้ออาทร หัวหมอหรือนึกกลัวก็ไม่ทราบได้ ไม่ยอมไปซะนี่ ตำรวจจึงบันทึกไว้
หลังจากนั้นอัยการซึ่งเป็นด่านต่อมานำตัว นายเอื้ออาทร ไปฟ้องข้อหาร่วมกันปล้นฆ่า มีโทษหนักถึงประหารชีวิต
นายเอื้ออาทร ให้การปฏิเสธ สู้คดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่า นายเอื้ออาทร เป็นคนร้ายร่วมกระทำความผิดจึงตัดสินลงโทษตามฟ้องให้ประหารชีวิต แต่ลดให้เพราะรับสารภาพเหลือจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยคือ นายเอื้ออาทร ดิ้นรนด้วยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง อ้างว่าคดีไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันจึงลงโทษไม่ได้แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
เรื่องยาวถึงศาลฎีกาเพราะจำเลยในคดีแบบนี้ต้องหาทางลุ้นเป็นเฮือกสุดท้าย ถือว่าดีกว่าอยู่เฉยๆโดยยกเรื่องไม่มีพยานรู้เห็น นำเอาคำรับสารภาพของ นายเอื้ออาทร ในชั้นสอบสวนมาตัดสินลงโทษไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้จนได้ที่แล้วชี้ขาดออกมาว่า
คดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน แต่ได้ความว่า นายเอื้ออาทร ให้การรับสารภาพต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวีมาทำข่าว ในชั้นสอบสวนก็ให้การรับสารภาพ ยังไปขอขมาภรรยาของ นายฟู่ฟ่า ด้วย ศาลจึงไม่เชื่อว่าตำรวจไม่กล้าขู่เข็ญบังคับให้รับสารภาพ ดังที่ นายเอื้ออาทรอ้าง
คำรับสารภาพมีรายละเอียดเป็นเรื่องเป็นราว สอดคล้องกับคำรับสารภาพของพรรคพวก 3 คนที่ร่วมแก๊งทุกอย่าง เมื่อ นายเอื้ออาทร ไม่ยอมไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจก็ไม่บังคับและบันทึกไว้ แสดงว่าบันทึกตรงต่อความจริงทุกอย่าง
ข้ออ้างที่ว่านำคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาลงโทษไม่ได้ ศาลฎีกาแจงว่าการลงโทษผู้กระทำความผิดอาญา นอกจากจะรับฟังประจักษ์พยานแล้วศาลยังรับฟังพยานแวดล้อมหรือพยานพฤติเหตุที่บ่งชี้ว่าจำเลยกระทำความผิดได้ด้วยคดีนี้ศาลฟังพยานแวดล้อมและคำรับของ นายเอื้ออาทร กับคำรับของพรรคพวกของ นายเอื้ออาทร ได้
อย่าลืมว่าศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยได้ โดยอาศัยวิ.อาญา มาตรา 134 โดยโจทก์ไม่ได้อ้าง นายเอื้ออาทร มาเป็นพยานเพื่อเค้นเอาความจริงจาก นายเอื้ออาทร มาลงโทษ นายเอื้ออาทร หรอกนะ เข้าใจไว้ด้วย
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน นายเอื้ออาทร ดิ้นไม่หลุด
ผมหยิบยกคดีนี้มานำเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างหรืออุทาหรณ์ของการทำตัวล่อตะเข้ล่อความตายด้วยรถเบนซ์และเครื่องประดับเพื่ออวดร่ำอวดรวย
การใช้รถใช่ว่าจะมีเงินมีปัญญาแล้วใช้รถหรูได้อย่างแคล้วคลาดเสมอไป ต้องมีความระมัดระวังตื่นตัวกลัวภัย เพราะเราไม่รู้ว่าโจรมันหมายปองเราเมื่อไหร่ ยกเว้นที่เป็นนักการเมืองคนใหญ่คนโตมีบริวารห้อมล้อมอาจจะปลอดภัยกว่าคนอื่นเขาหน่อย แต่ถ้าเป็นชาวบ้านบอกได้เลยว่า ต้องระวัง อย่าซ่า เดี๋ยวได้ตายก่อนแก่
จริงอยู่ เรามีเสรีภาพที่จะบำรุงบำเรอความสุขของตนเองได้ด้วยทรัพย์สินของมีค่า เพื่อให้ดูดี มีความมั่นใจ หรือให้เขาเห็นว่าตูรวยแล้ว แต่ในท่ามกลางหมู่คนซึ่งมีทั้งชั่วและดี โอกาสที่จะถูกปล้นจี้จึงมีได้เสมอ
ไม่ต้องอื่นไกลวัยรุ่นมีแค่มือถือ โจรชั่วยังทำร้ายยังฆ่าเพื่อชิงโทรศัพท์ กว่าตำรวจจะลากคอได้ แทนที่จะยิงทิ้งให้สิ้นเรื่อง มันฆ่ามันทำร้ายคนไม่รู้เท่าไร อนาถเหลือเกินประเทศไทย
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51717