รู้ลึกเรื่องรถ
ลัมโบร์กินี กัลลาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO)
ลัมโบร์กินี (LAMBORGHINI) เพิ่งฉลองอายุครบ 40 ปีไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่จริงแล้วผมว่าอายุเท่าไรก็ไม่สำคัญถ้าโรงงานรถสปอร์ทเล็กๆ แต่ฝีมือไม่เล็กเช่นนี้ มี "ชีวิต" รอดมาถึงวันนี้ได้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับการฉลองแล้วครับ เป็นธรรมดาของโรงงานสร้างรถแบบ "แฮนด์เมด" ทุกแห่งที่จะต้องมีชีวิตระหกระเหิน ผ่านช่วงเวลาทั้งรุ่งและร่วงมาหลายรอบ ลัมโบร์กินีก็ไม่ต่างจากโรงงานดังกล่าวเหล่านี้เลย คือมีปัญหาประจำตัวเกี่ยวกับการขาด "สภาพคล่อง" ต้องสอดส่ายสายตาหาคู่หรือพันธมิตรทางธุรกิจมาช่วยชีวิตอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเปรียบกับคนก็คงเป็นผู้หญิงสวยที่รายได้ไม่ค่อยพอกับรายจ่าย เจอคู่กี่คนก็ไม่ใช่ตัวจริงเสียทีมีทั้งเศรษฐีจริงแต่ไม่รู้ค่า เศรษฐีกำมะลอก็มี บางทีก็เป็นลูกนักการเมืองขี้ฉ้อแถวๆ เอเชียนี่แหละครับจนกระทั่งเพิ่งโชคดีกับรายสุดท้าย ที่ทั้ง "เป็นเรื่องเป็นราว" หากินเป็น แล้วยังเงินหนาอีกด้วย โฟล์คสวาเกน ไงครับแต่ ลัมโบร์กินี ถูกจัดให้อยู่ภายใต้การดูแลของ เอาดี (ซึ่งก็เป็นของ โฟล์คสวาเกน) อีกที ก็เลยถือและพูดกันว่า ลัมโบร์กินี เป็นของ เอาดี (AUDI)
ก็แล้วแต่จะเรียกครับ อย่างไรก็ถูกทั้งนั้น มีเงินเสียอย่างอะไรๆ ก็สะดวกไปหมด แต่ เอาดี ไม่ได้มีแค่เงินนะครับยังมีความรู้หรือโนว์ฮาว (KNOW HOW) ทางเทคนิคแถมให้อีกเพียบ ผลผลิตของ ลัมโบร์กินี จึงดีวันดีคืนเป็นรูปธรรมที่เห็นและสัมผัสได้จริง รุ่นแรกคือรถสปอร์ทระดับสุดยอดของโลก ชื่อ มูร์ซีเอลาโก (MURCIELAGO) ซึ่งถือว่าเป็นการเอา "จุดแข็ง" ของทั้งสองโรงงานมารวมกัน โดยไม่เอาจุดอ่อนมาด้วย นั่นคือสมรรถนะการเกาะถนนทรงตัว ความรู้สึกในการขับ เสียงเครื่องยนต์ เป็นแบบของชาวอิตาลีต้นตำรับ
ส่วนข้อเสียหลายอย่าง เช่น ฝีมือประกอบ วัสดุ ความทนทาน ถูกทดแทนด้วยจุดแข็งของนักสร้างรถเยอรมันอย่าง เอาดี ได้พอดี มูร์ซีเอลาโก เป็นรุ่นใหญ่สุดของ ลัมโบร์กินี และแพงที่สุดด้วย จึงยังไม่ใช่ "รุ่นทำเงิน" ซึ่งจะต้องราคาย่อมเยากว่า หลังจากซุ่มพัฒนาอยู่นาน ลัมโบร์กินี ก็ปล่อยรุ่นน้องออกมาเมื่อไม่กี่เดือนนี้เองคราวนี้สะท้านวงการรถสปอร์ทไปทั้งโลกจริงๆ คือถูกใจลูกค้ากลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะสวยและยังแรงเกินคาดด้วยและขณะเดียวกันก็ทำความหนักใจให้กับโรงงานคู่แข่งหลายแห่ง เพราะความแรงเกินคาดนี่แหละครับก่อนจะทราบว่าแรงแค่ไหน ขอเล่าความเป็นมาของรถตราหรือ "ยี่ห้อ" นี้สั้นๆ ก่อนครับ เพราะน่าสนใจพอสมควร
ในประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์นั้น โรงงานรถส่วนใหญ่ เกิดจากความสามารถพิเศษและความชอบของผู้ก่อตั้งแต่ ลัมโบร์กินี ไม่เหมือนใครครับ เพราะถือกำเนิดมาจากความแค้นของคนคนเดียว ซึ่งก็คือ แฟร์รุชโช ลัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINI) เศรษฐีใหญ่เจ้าของโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์ในอิตาลี ในยุคนั้นใครที่รวยจริงและชอบรถสปอร์ทที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้เลือกใช้ครับ นอกจาก แฟร์รารี (FERRARI) ของลุงเอนโซ (ENZO) ซึ่งตอนนั้นยังไม่แก่ แฟร์รุชโช ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง และไม่ใช่ลูกค้าธรรมดาทั่วไปเสียด้วย เพราะมีความรู้ทางวิศวกรรมและคงจะเป็นคนที่หวังดีต่อเพื่อนร่วมอาชีพด้วย แม้รถที่ผลิตขายจะต่างกันแบบคนละขั้วก็ตาม
เมื่อมีโอกาสได้พบ เอนโซ จึงแจ้งจุดอ่อนของ แฟร์รารี รุ่นที่ขับให้ทราบ เพื่อจะได้ปรับปรุงหรือแก้ไข เอนโซซึ่งธาตุแท้เป็นนักเผด็จการเต็มตัว ไม่ฟังใครอยู่แล้วก็โต้กลับว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ที่รถของตนจะมีจุดอ่อนเหล่านี้ (ซึ่งผมเองมั่นใจว่ามีแน่ๆ) ปิดท้ายด้วยการหยามว่าคนสร้างรถแทรคเตอร์จะมารู้อะไรเกี่ยวกับเทคนิครถสปอร์ทชั้นสูง "กลับไปแก้ไขแทรคเตอร์ของคุณต่อดีกว่านะ"
แฟร์รุชโช ถูกหยามกลับมาบ้าน จึงรีบระดมพล รวมทั้งจ้างวิศวกรรถยนต์ฝีมือดี ที่ไม่ได้ทำงานกับ แฟร์รารี ตั้งโรงงานผลิตโดยด่วน รุ่นแรกที่ออกจำหน่ายเป็นไปตามคาดครับ คือไม่มีจุดอ่อนที่ แฟร์รารี มีอยู่ในวงการถือว่าคะแนนรวมดีกว่า แฟร์รารี ยุคเดียวกัน ถึงจะไม่สามารถทำให้ แฟร์รารี ล้มได้ แต่ก็ได้ความสะใจครับแล้วยังแย่งลูกค้า (และเงิน) มาจาก แฟร์รารี ได้พอสมควรด้วยสรุปแล้วปากเสียครั้งเดียวก็ทำให้รายได้หดหายไปมากเหมือนกัน แต่ผู้นิยมรถสปอร์ทคงบอกว่าโชคดีที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้พวกเรามีรถสปอร์ทดีๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหลายรุ่น
กลับมาเข้าเรื่อง กัลลาร์โด (GALLARDO) ของเรากันต่อครับเป็นที่รู้กันในวงการมานานแล้วว่า ลัมโบร์กินี กำลังพัฒนารถสปอร์ทรุ่นเล็กอยู่อย่างแน่นอน เพื่อจะออกมาชิงลูกค้าระดับที่ใช้ แฟร์รารี 360 โมเดนา และ โพร์เช เทอร์โบ เลยเดากันว่าคงจะหนีไม่พ้นเครื่องยนต์ 8 สูบ กำลังราวๆ 400 แรงม้า อาจมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง เช่นระบบกันสะเทือน หรือระบบเปลี่ยนเกียร์ ส่วนรูปร่างก็อาจจะเน้นแรงกดที่ความเร็วสูง เช่นเดียวกับ โมเดนา ของ แฟร์รารี ที่ลูกค้าประจำออกปากกันมากพอสมควรว่า สงสัยจะหมดยุครถสวยของ แฟร์รารี ไปแล้ว
ปรากฏว่าที่เดากันไว้นั้นผิดหมด เพราะรูปทรงของ กัลลาร์โด ถูกใจกลุ่มเป้าหมายแทบไม่มีใครที่เห็นแล้วบอกว่าผิดหวังหรือไม่สวย น่าเสียดายที่โรงงาน ลัมโบร์กินี ไม่พูดถึงแรงกดที่ความเร็วสูงว่ามีค่าเท่าใด แต่ระดับ เอาดี คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กแน่ เพราะเป็นรถที่ทำความเร็วได้เกิน 300 กม./ชม.นั่นแสดงให้เห็นว่าถึงจะออกแบบโดยคำนึงถึงแรงกดทางพลศาสตร์ของอากาศ ก็ยังสามารถเลือกรูปทรงให้สวยได้แต่ที่ทำให้คนในวงการนี้ตะลึง ก็คือเครื่องยนต์และกำลังของมันครับ เพราะ ลัมโบร์กินี เลือกใช้เครื่องยนต์ วี-10 สูบ ความจุถึง 5,000 ซีซี ไม่ใช่แค่เครื่องใหญ่ แต่ "รีด" กำลังด้วย ได้มา 500 แรงม้าสบายๆ ที่ 7,800 รตน.
ตรงนี้แหละครับที่น่าจะทำให้คู่แข่งอย่าง แฟร์รารี และ โพร์เช มึนอยู่นาน เพราะ 360 โมเดนา มีแค่ 400 แรงม้า ส่วน 911 เทอร์โบ ก็ 400 เศษเท่านั้น ผมไม่แน่ใจว่ากำลังของ กัลลาร์โด จะย้อนกลับมาทำร้าย ลัมโบร์กินี เองหรือเปล่าเพราะทั้งอัตราเร่งและความเร็วสูงสุด เข้าไปใกล้ "พี่ใหญ่" อย่าง มูร์ซีเอลาโก มากเกินไปจนลูกค้าอาจจะเปลี่ยนใจมาซื้อรุ่นน้องแทน เพราะถูกกว่า 30 %
โครงของ กัลลาร์โด ทำจากๆ อลูมิเนียม ซึ่ง เอาดี มีเทคโนโลยีชั้นสูงอยู่ในมือจากการสร้างรุ่น เอ 8 ที่เพิ่งเลิกผลิตไปไม่นาน ผลิตจากโรงงานในเยอรมนี ซึ่งผลิตตัวถังให้ เอาดี แล้วส่งมาที่เมือง เนกคาร์ส อูล์ม (NECKARSULM) เพื่อพ่นสี (เฉพาะโครงหรือ "สเปศเฟรม") จากนั้นจึงขนไปส่งยัง ซันท์ อกาทา (SANT' AGATA) บ้านเกิดของ ลัมโบร์กินี เพื่อประกอบกับตัวถังและส่วนอื่น
ตอนเลือกรูปร่างของตัวถังรถ เอาดี ให้ทีมออกแบบประชันฝีมือกันสี่รายด้วยกัน คือ นักออกแบบของ เอาดี เองแบร์โตเน จูจาโร (BERTONE GIUGIARO) และ ไอดีอีเอ (IDEA) ปรากฏว่าแบบของ จูจาโร ได้คะแนนสูงสุดแต่ตอนเอามาใช้ เอาดี ขอแก้ไขหลายจุดด้วยกัน ซึ่งนักออกแบบเขาไม่เกี่ยงอยู่แล้วครับขอให้จ่ายค่าจ้างครบเป็นใช้ได้ ไฟท้ายแบบวงกลมถูกเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยม และหักมุมฉากเลยขึ้นไปบนบังโคลนซึ่งเข้ากับรูปทรงของตัวถังดีมาก ไฟหน้าก็ถูกเปลี่ยนแปลงตามใจของ ดงก์เคร์โวลเก(DONCKERWOLKE) หัวหน้าฝ่ายออกแบบชาวดัทช์ สรุปแล้วตอนเป็นตัวจริงออกขาย ไม่เกิน 40 % เป็นส่วนที่เหลือจากต้นแบบของ จูจาโร นอกนั้น เอาดี ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง จัดการแก้ไขจนถูกใจ ผมว่าผลงานที่ออกมานี้ดีมาก ถ้าจะให้ติก็ตรงที่มีเส้นตรงและเหลี่ยมคมมากไปหน่อย แต่ จูจาโร เขาชอบแนวนี้มาตลอดครับ
เครื่องยนต์เป็นแบบ วี-10 สูบ ซึ่งสมัยก่อนไม่มีใครกล้าใช้ โดยมี ไวเพอร์ ของ ไครสเลอร์ เป็นผู้บุกเบิก แล้วตามด้วย โพร์เช คาร์เรรา จีที ที่แพงหูดับและถูกจองหมดแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ผลิต โฟล์คสวาเกน มีเครื่องยนต์แบบนี้เหมือนกันแต่เป็นเครื่องดีเซล รายต่อไปคือ บีเอม ฯ ที่จะใช้กับรุ่น เอม 5 ใหม่ในปีหน้าตามหลักแล้วถ้าจะให้มุมของแผงเครื่องยนต์ วี-10 ถูกต้องตามทฤษฎี จะต้องทำมุม 72 องศา แต่หัวหน้าวิศวกรของ ลัมโบร์กินี บอกว่า ทำให้เครื่องยนต์และจุดศูนย์ถ่วงสูงเกินไป พอดีมีเครื่องยนต์ วี-8 สูบ ของ เอาดี อยู่แล้ว ซึ่งทำมุม 90 องศา เลยถือโอกาสใช้ค่านี้ไปด้วย โดยใช้เพลาข้อเหวี่ยงที่มีข้อเหวี่ยงเหลี่อมกัน 18 องศาเพื่อให้จังหวะจุดระเบิดสม่ำเสมอกัน เพลาลูกเบี้ยวทั้งสี่ท่อนและโซ่ที่ใช้ขับยกมาจากเอาดี ทั้งชุดแต่ปรับปรุงให้ทำงานได้เกิน 8,000 รตน. มีระบบปรับมุมเพลาลูกเบี้ยวทั้งด้านไอดีและด้านไอเสีย วิศวกรของ ลัมโบร์กินี ออกแบบระบบบริหารเครื่องยนต์ เอนจิน เมเนจเมนท์ ซิสเตม (ENGINE MANAGEMENT SYSTEM) เองอย่างภาคภูมิใจ ไม่ต้องใช้ของ เอาดี
ห้องเกียร์ออกแบบและผลิตโดยโรงงาน กรัตซาโน (GRAZIANO) ในอิตาลี ซึ่งผลิตห้องเกียร์ให้ แฟร์รารี มาเซราตีและแอสตัน มาร์ทิน ส่วน "ซอฟท์แวร์" และระบบเปลี่ยนเกียร์ วิศวกรของ ลัมโบร์กินี ออกแบบเองเช่นเดียวกันมีเครื่องยนต์แรงขนาดนี้ แล้วยังอยู่ใต้ร่มเงาของ เอาดี ซึ่งเชี่ยวชาญด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ถ้า ลัมโบร์กินีเลือกระบบขับเคลื่อนเฉพาะล้อหลัง รับรองว่าไม่มีใครอภัยให้ ห้องเกียร์ของ กัลลาร์โด จึงถูกวางไว้ด้านท้ายของรถ
มีเพลาส่งกำลังอีกท่อนโผล่ย้อนออกมาด้านหน้า เพื่อส่งกำลังไปยังล้อหน้า โดยให้เพลา "ทะลุ" ผ่านเครื่องยนต์ทางด้านขวา ไปยังดิฟเฟอเรนเชียลของล้อหน้า
ระบบรองรับตามสูตรของรถสปอร์ทชั้นยอด คือปีกนกสองชั้นทั้ง 4 ล้อ ชอคแอบซอร์เบอร์ หรือ แดมเพอร์ (DAMPER) พัฒนาโดยโรงงาน โคนี (KONI) ไม่มีการใช้ระบบอีเลคทรอนิคส์ให้วุ่นวายและเสียง่ายแต่ปรับความแข็งอัตโนมัติด้วยกลไก ให้เหมาะสมกับความถี่ที่ล้อเต้นเป็นแบบล่าสุดที่ยังไม่ทราบหลักการทำงานครับ ถ้าได้รายละเอียดจะนำมาเผยแพร่ในคอลัมน์นี้แน่นอน (CECCARANI) หัวหน้าวิศวกรของ ลัมโบร์กินี บอกว่า ระบบนี้ทำให้การเกาะถนนและความนุ่มนวลซึ่งมักเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อยู่ในระดับที่ดีมาก ดีจริงหรือไม่คงต้องรออ่านจากรายงานการทดสอบรถรุ่นนี้โดยนิตยสารชั้นนำของต่างประเทศครับ
รถที่ปลอดภัยนั้น ต้องมีระบบเบรคที่ "รับมือ" กับกำลังของเครื่องยนต์ได้ ก้ามเบรคหน้าของ กัลลาร์โด ใช้ลูกสูบล้อละ 8 ลูก ส่วนเบรคล้อหลังใช้ก้าวแบบลูกสูบ 4 ลูก รวมแล้วมีลูกสูบกดผ้าเบรคอัดกับจานเบรค 24 ลูกครับ
ผมชอบจุดประสงค์หลักข้อหนึ่งของผู้รับผิดชอบ ในการพัฒนารถสปอร์ทรุ่นนี้มาก นั่นก็คือต้องเป็นรถที่ใช้งานประจำวันได้โดยไม่มีปัญหา ซึ่งหายากหน่อยครับในบรรดารถสปอร์ทแท้ๆ ระดับซูเพอร์คาร์รู้สึกว่าจะมีอยู่ "ยี่ห้อ" เดียวเท่านั้น คือ โพร์เช ทั้งรุ่น คาร์เรรา และรุ่น เทอร์โบ ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวจริงของ กัลลาร์โด
เคยมีคนถามว่า ทำไมต้องเอารถที่คนทั่วไปไม่มี "ปัญญา" ซื้อมาแนะนำกันด้วย ไม่เห็นจะมีประโยชน์ตรงไหนผมว่าน่าจะเป็นการหลงประเด็นแล้วคงไม่มีใครอยากอ่านเรื่องราวรายละเอียดของรถที่มีคนใช้กันอยู่ทั่วไปหรอกนะครับ บางทีถึงไม่มีใช้ก็อาจมีโอกาสได้นั่งหรือได้ลองขับรถที่ไม่มีปัญญาซื้อนี่แหละครับ ที่ผมอยากทราบรายละเอียดคนชอบรถและคนบ้ารถจริงๆ จะไม่ชอบเฉพาะรถที่มีปัญญาซื้อนะครับ แต่จะชอบไปหมด รถที่ไม่คิดจะซื้อก็ยังสนใจเช่น รถเล็กสำหรับแม่บ้าน รถตู้ ฯลฯ ไม่เกี่ยวกับเรื่อง "ชาตินี้จะไม่ได้ซื้อหรือได้ขับหรือไม่"คนที่สนใจเทคโนโลยีอวกาศ ก็ยังอยากอ่านเรื่องเกี่ยวกับยานอวกาศอยู่ทุกลมหายใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า "ชาตินี้" ไม่มีวันได้เข้าไปนั่ง ไม่มีวันแม้แต่จะได้เห็นตัวจริงด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51709