บทความ
ไทยเบนซิน
ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา การแสวงหาเชื้อเพลิงทางเลือกใหม่ๆเพื่อทดแทนน้ำมันยังคงเป็นภารกิจที่หลายประเทศให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่ต้องสูญเสียเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันเบนซิน และดีเซล ถึงปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท
ผลจากการศึกษาวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ทำให้เกิดโครงการเอธานอล (ETHANOL) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการเอธานอลแห่งชาติเป็นผู้ดูแล
การนำ เอธานอล มาผสมกับน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงสามารถทำได้หลายวิธี เพราะเอธานอล หรือ เอธิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) เป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากขบวนการหมักเฟอร์เมนเทชัน (FERMENTATION) วัตถุดิบจำพวกพืช เศษซากพืช เช่น อ้อย ข้าว ขี้เลื่อย ข้าวโพด เป็นต้น
แต่ปัญหา คือ ไม่มีเอธานอลเพียงพอกับความต้องการซึ่งขณะนี้รัฐบาลอนุมัติให้เอกชนตั้งโรงงานผลิตเอธานอลแล้ว 8 รายน้ำมันที่ผลิตออกมานั้นจะมีแรงจูงใจด้วยราคาที่ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ออคเทน 95 ประมาณ 50 สตางค์
อย่างไรก็ตามก็ยังมี "กลุ่มกุหลาบแดง" คิดค้นน้ำมันสูตรใหม่ขึ้นมา โดยตั้งชื่อว่า "ไทยเบนซิน"
กระบวนการผลิต
"ไทยเบนซิน" เป็นกระบวนการผลิตเชื้อเพลิงชนิดใหม่ล่าสุดของโลกด้วยการสังเคราะห์สารเคมีจากซากพืช เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด ผักตบชวา ไมยราบหรือมันสัมปะหลัง รวมถึงผักสีเขียวทั้งหมด โดยนำไปผ่านกระบวนการหมัก
หลังจากการหมัก ใช้เทคนิคการลดทอนคาร์บอนในซากพืช หรือเปลี่ยนโครงสร้างพันธะทางเคมีเพื่อให้เหลือค่าใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินทั่วไป
ดร. ทรงศักดิ์ เกียรติสุข นักวิชาการหัวหน้ากลุ่มกุหลาบแดง เผยถึงความเป็นมาและวิธีการผลิตไทยเบนซิน ว่าสมมุติว่าโต๊ะ 1 ตัว มีคาร์บอนเป็นล้านๆ ตัว ต้นมะยมมีคาร์บอนเป็นล้านๆ ตัวต้นมะม่วงมีคาร์บอนเป็นล้านๆ ตัว ฟางข้าว ผักตบชวามีคาร์บอนเป็นล้านๆ ตัวแต่ถ้ามองดูว่าจำนวนคาร์บอนที่อยู่ในพืชต่างๆ มันก็คือ โพลีเมอร์ (POLYMER) ของกูลโคสเอากูลโคสมาต่อๆ กันเป็นเซลลูโลส โมเลกุลก็เหมือนกันหมดเราก็เอามาผ่านกระบวนการทอนโมเลกุลทำแคทาลิสต์ (CATALYST) ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้นให้เหลือคาร์บอนใกล้เคียงกัน 8 ตัว ตรง 8 ตัวนี้เหมือนเบนซินจริงๆ ทำนองเดียวกันเราก็เอาเอธานอล 10 % มาใส่มาทดแทน MTBE เท่ากับ 90 % มาจากพืชอีก 10 % ก็เอามาจากเอธานอลจากพืชกลายเป็นน้ำมันเบนซิน 100 %
กระบวนการกลั่น
น้ำมันไทยเบนซิน จะกลั่นที่ 5/10 และ20 % จนกระทั่งหมด จะมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเครื่องจะสะดุดหรือไม่ ยกตัวอย่าง อุณหภูมิที่เริ่มกลั่น 50 หรือ 60องศา พอ 5 % อยู่ที่ 50 แต่พอ 10 % กระโดดไปที่ 100 แสดงว่าเครื่องสะดุด แต่ต้องแบ่งช่วงไปเรื่อยๆจนกระทั่งกลั่นหมด
ไทยเบนซิน เหมือนกับน้ำมันเบนซินจริงๆ แต่ความถ่วงจะอยู่ที่ 44.2 ความถ่วงค่อนมาทางดีเซลคือระเหยช้านิดหน่อย แต่การกลั่นเหมือนเบนซิน นอกจากนั้นยังมีข้อกำหนดห้ามความดันไอเกิน 60ไทยเบนซิน อยู่ที่ 32.2 เหมือนเบนซินทุกอย่างยกเว้นความถ่วง แล้วเมื่อนำไปวัดออคเทนปกติน้ำมันเบนซินมีออคเทน 95 และ 91 ของ ไทยเบนซิน ครั้งแรกวัดไม่ได้เพราะว่าเกิน 100 จึงไปนำเฮพเทน (HEPTANE) ซึ่งออคเทนเท่ากับ 0 ผสมกับ ไทยเบนซิน อย่างละครึ่ง ครั้งที่ 1 ได้ 89 ครั้งที่ 2 ได้ 87 เอามาเฉลี่ยนกันได้ 88 แต่ว่า เฮพเทน เท่ากับ 0 คูณ 2 ได้เท่ากับ 176 นี่คือออคเทนของ ไทยเบนซินซึ่งเอาไปใส่เครื่องบินได้เลย
สำหรับข้อได้เปรียบจากเอธานอล คือ ต้องใช้มันสำปะหลัง 5 กก. ถึงจะได้เอธานอล 1 ลิตรของเราถ้าเป็นแป้งมันสำปะหลังเราใช้ไม่เกิน 2 กก. เราได้ 1 ลิตรต้นทุนเราถูกกว่าเนื่องจากเวลาเราใช้ยีสต์มากินกูลโคสมาทอนโมเลกุลให้มันเหลือ 2 คาร์บอนกระบวนการนี้ถ้าแอลกอฮอล์มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยีสต์ก็ตายเพราะแอลกอฮอล์ คือน้ำยาฆ่าเชื้อเพราะเวลาเราไปโรงพยาบาลเขาเช็ดโต๊ะ เขาใช้แอลกอฮอล์เช็ดหรือเวลาเกิดแผลก็เอาแอลกอฮอล์มาล้างเพราะฉะนั้นแอลกอฮอล์ก็ฆ่ายีสต์ไป การเวียนในยีสต์ต่างๆก็เป็นค่าโสหุ้ยที่แพงขึ้นของเราเป็นเคมีคอลแคทาลิสต์ ซึ่งมันไม่ตายตามที่อุณหภูมิแอลกอฮอล์ที่มันเพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนจะถูกลงถ้าทำสำเร็จก็ทดสอบคุณภาพของน้ำมัน
เราทดสอบไปวัดไอเสียตรวจสอบว่ามีมลพิษมากหรือน้อย วิธีการคือเอาน้ำมัน 95 และ 91 แล้วไทยเบนซิน ที่เราผลิตขึ้นมาจากต้นไม้มาเปรียบเทียบกัน ครั้งแรกเราไปติดกับเครื่องยนต์โรบิน EY20 เป็นเครื่องตัดหญ้าแต่เป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ แต่เมื่อเอาเครื่องยนต์ 4 จังหวะไปใส่น้ำมัน 91 ปรากฏว่าปล่อยไฮโดรคาร์บอนออกมา 320 PTM คือ ในอากาศล้านส่วนมีอยู่ 760 ส่วนเวลาเราเปรียบเราส่งไปที่กรมการขนส่งซึ่งมีบริษัทที่ตรวจสภาพรถเขาตรวจให้เราเห็นข้อมูลจากตรงนี้ว่า ไฮโดรคาร์บอนของเราน้อยกว่า 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับ 95 เรา มลพิษน้อยกว่า 2 เท่าเรามองออกว่าไฮโดรคาร์บอนมันบ่งบอกถึงการจุดระเบิดดีกว่าสมบูรณ์กว่าถ้าเป็นอย่างนี้ใส่รถยนต์ก็ไม่มีปัญหา
รถยนต์คันแรกที่ใส่คือ ฮอนดา ปรากฏว่าวิ่งได้ ไม่มีปัญหาไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เราก็ส่งไปวัดไอเสียอีก น้ำมัน 95 ใน ฮอนดา ปล่อยไฮโดรคาร์บอน 20 ส่วน น้ำมัน 91 ปล่อย 30 ส่วนหลังจากนั้นเราเอาไทยเบนซินใส่ลงไปปรากฏว่ามันปล่อยไฮโดรคาร์บอนออกมาต่ำกว่า 10 PTM ค่อนข้างจะเป็น กรีน เอเนอร์จี (GREEN ENERGY) เราไปลองกับรถ โตโยตา อัลทิส/อีซูซุ และ ซูบารุ ฯลฯ ไปลองมาทั้งหมดหลาย 10 คัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ยังไม่มีปัญหาเราส่งไปที่กรมธุรกิจพลังงานเพื่อเชคตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน ตรวจสอบกำมะถัน เปรียบเทียบน้ำมัน 95 น้ำมันเบนซินมาจากปิโตรเลียมต้องมีกำมะถันอยู่เสมอไม่มากก็น้อย ในน้ำมัน 95 ห้ามเกิน 0.05 %
บางทีถ้ามีความชื้นจะเปลี่ยนเป็นกรดกำมะถันมันบ่งบอกว่าถ้ามีการเผาไหม้แล้วจะเปลี่ยนเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์บางทีถ้ามีความชื้นจะเปลี่ยนเป็นกรดกำมะถันอีก กรดกำมะถันจะไปกัดกระบอกสูบเพราะฉะนั้นเขาจะวัดตรงนี้ก่อน ปรากฏว่าของเราวัดแล้วออกมา 0 แสดงว่าไม่ใช่ปิโตรเลียมแน่นอนเพราะไม่มีกรดกำมะถันทำให้การสึกกร่อนน้อยกว่าเขาเลยวัดการสึกกร่อน โดยเอาทองแดงไปต้มกับน้ำมัน 3 ชนิด คือ 95/91 และไทยเบนซิน
หลังจากต้มแล้วสีทองแดงจะเปลี่ยนไป เกิดจาก ออกซิเดชัน (OXIDATION) หรือรีดัคชัน(REDUCTION) จะมีชาร์ทการเทียบสีพิเศษ ในน้ำมัน 95 มาตรฐานสีที่เปลี่ยนไปต้องไม่เกิน 1 ถ้าไม่ดีก็เป็น 2/3 หรือ 4 ถ้าสึกกร่อนน้อยกว่า 1 ก็คือ 1 เอ และ แอล 1 เอ น้ำมัน 95 ประมาณ 1 น้ำมันไทยเบนซิน อยู่ที่แอล 1 เอ ต่ำกว่า 2 สเตพ
พอมาวัดดูพารามิเตอร์ที่ 3 วัด อโรเมติค ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง อโรเมติคที่วัดมีอยู่ 2 ตัว คือ 1 อโรเมติคโดยรวมห้ามเกิน 35 ใน 100 ส่วน ปรากฏว่าน้ำมัน 95 มีอยู่ 35 ส่วนหรือโดยทั่วไปน้ำมันในประเทศไทยคุณภาพต่ำจะเกิน 35 เป็นส่วนใหญ่ ไทยเบนซิน ออกมา 0 แสดงว่าน้ำมันของเราไม่เป็นสารก่อมะเร็ง 2. อโรเมติค คือ เบนซิน คำไปพ้องกับน้ำมันเบนซินความจริงแล้วเป็นสารคนละตัวกัน ในน้ำมันเบนซินที่ใช้จุดระเบิดรถยนต์ เป็นไฮโดรคาร์บอน
ซึ่งเป็นโมเลกุลรวมระหว่างสารที่มีจุดเดือด 120-200 องศาเซลเซียสแต่ในน้ำมันเบนซินที่เป็นอโรเมติคมีคาร์บอนแค่ 6 โมเลกุล สารตัวนี้ทำให้เป็นลูคีเมีย สารตัวนี้ห้ามเกิน 3.5 % แต่ของ ไทยเบนซิน ออกมา 0
ความคุ้มทุน
ต้นทุนการผลิตในห้องแลบ 1 ลิตร เท่ากับ 7 บาท หลังจากกลั่น ซึ่งถ้าเป็นในอุตสาหกรรมจะถูกกว่าถ้ารวมเบ็ดเสร็จทั้งภาษี และอื่นๆ มาถึงผู้บริโภคจะมีราคาประมาณลิตรละ 10 บาท
การช่วยเหลือ เกษตรกร สมมติว่าปลูกข้าว 2 ไร่ ข้าวราคาแพงขาย ไม่เป็นไร แต่ถ้าข้าวราคาถูกเหลือเกวียนละ 2,800 บาท กก. ละ 2.80 บาท แต่เราจะช่วยซื้อ เกวียนละ 3,400 บาท ให้เพิ่มอีกกก.ละ 3.40 บาท 2 กก.ได้มา 1 ลิตร ต้นทุนเพียง 6.80 บาท เราก็ไปนำ ผักตบชวา หรือกากมันสัมปะหลังมา มาผสมโดยใช้ 10 ส่วน และนำข้าวมา 1 ส่วน ลดราคาลงเพื่อให้สู้ได้ซึ่งจุดนี้อยู่ที่การจัดการ
สมมติว่า ปลูกข้าว 2 ไร่ ได้ข้าว 1 เกวียน ได้ฟางข้าว 1 ตัน ปลูก 2 ไร่ ก็ได้ฟางข้าว 2 ตัน ซึ่งถ้าขายในราคา กก. ละ 50 สต. ก็จะได้เงินมาอีก 1,000 บาท ข้าวที่เคยได้ 2,800 บาท ก็เพิ่มมาอีก 1,000 บาท
การตลาด
จะร่วมกับชาวบ้านตั้งบริษัทสหกรณ์ โดยจะเป็นการนำสหกรณ์เข้าไปถือหุ้นซึ่งโดยทั่วไปสหกรณ์ก็จะมีปั๊มน้ำมันของตัวเอง มีเอกชน และนักวิชาการเข้ามาถือหุ้นอีกเพราะฉะนั้นก็จะเป็นบริษัทกึ่งมหาชน โดยชาวบ้านก็มีสิทธิ์มีส่วนเป็นเจ้าของด้วยสิ่งที่ชาวบ้านจะได้คือ เป็นผู้ผลิต ได้เงินคืนกลับไป ซื้อสินค้า มีการปลูกพืชเป็นระบบ อย่างเช่นเมื่อไม่ปลูกข้าว อาจจะไปปลูกกระถินรณรงค์ 1 เดือน ก็ได้ผลผลิตที่จะนำมาใช้ได้แล้ว
แผนต่อไปจะร่วมกับบางจาก โดยบางจากจะรับซื้อทั้งหมด ซึ่งบางจากนั้นค่าอโรเมติคสูงถ้าเอามาผสมกันอย่างละครึ่ง อโรเมติคก็จะลดครึ่งหนึ่ง ได้มาตรฐานโลกแล้ว จะเอาไปขายเลยหรือจะรวมกันก็ได้ อย่างที่ผสมเอธานอล เพราะเป็นการลดมลภาวะทันที เมื่อมีการรวมกันแล้วผลด้านการตลาดก็จะตามมา
เราจะสร้างโรงงานต้นแบบในงบประมาณ 70 ล้านบาท แล้วกระจายไปในจังหวัดต่างๆ ในชุมชนเพื่อจะได้มีการจัดการ เมื่อรู้วิธีการแล้วก็สามารถผลิตได้หมดแต่พอถึงจุดที่จะมีใครเลียนแบบก็ไปจดสิทธิบัตร พอรู้ว่ากันไม่อยู่ก็ต้องขายเอาเงินมาบำรุงประเทศซึ่งจะทำให้ไม่เกิดผลกระทบในด้านอื่นๆ
งานวิจัยครั้งนี้ ใช้ทุนของตัวเองทั้งหมด ซึ่งความจริงแล้วต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนเช่นกันอาจอาศัยเงินจากกองทุนน้ำมัน ที่ส่วนใหญ่จะไปช่วยหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่ช่วยเหลือภาคเอกชนหากทำโครงการนี้สำเร็จออกมาก็อยากให้ช่วยในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชนเช่นหากร่วมกับชาวบ้านจะไปเก็บภาษีชาวบ้านอีกหรือไม่ การประกันราคาข้าวเกษตรกรเมื่อก่อนช่วยเรื่องน้ำท่วม พืชผลการเกษตรตกต่ำ จุดนี้เป็นการช่วยเหลือรัฐบาลโดยตรงรัฐบาลจะว่าอย่างไรเรื่องภาษี การขนส่งน้ำมัน ซึ่งไม่เชิงน้ำมันแล้ว เป็นสารอีกชนิดหนึ่งรัฐบาลต้องช่วยแล้ว อย่างเอธานอลรัฐไม่เก็บภาษี ตอนนี้เราเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรแล้วแทนรัฐบาลแล้ว รัฐบาลไม่ได้ช่วยเราเลย
ความแตกต่างและข้อดีของไทยเบนซิน
น้ำมันเอธานอล ผลิตขึ้นจากการนำแอลกอฮอล์ 10 % ผสมกับเบนซิน 90 % เอธานอลทำมาจากมันสัมปะหลัง 5 กก. ได้ 1 ลิตร ไทยเบนซิน ใช้มันสัมปะหลัง 2 กก. ได้ 1 ลิตรโดยเราใช้ไทยเบนซิน 90 % บวกกับเอธานอล 10 % เบ็ดเสร็จ 100 % มาจากต้นไม้ทั้งหมด
ข้อได้เปรียบคือ
1. ต้นทุนถูกกว่า เพราะใช้วัตถุดิบน้อยกว่า
2. เอธานอล ใช้กระบวนการนำแป้งมาย่อยเป็นกลูโคส แล้วเอายีสต์มากิน ของเราใช้เคมีคอล โพรเซลซึ่งได้เปรียบกว่า ยีสต์เมื่อโดนแอลกอฮอล์ยีสต์จะตาย แต่ของเราจะไม่ตายเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง
3. มีลักษณะใส กลิ่นหอม ผู้ใช้สามารถเติมลงในถังน้ำมันได้ทันที โดยไม่ต้องถ่ายน้ำมันเก่าทิ้งเพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ผ่านการปรับพันธะทางเคมี ให้ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินแล้ว
สัมภาษณ์ ดร. ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน คณะกรรมการเอธานอลแห่งชาติ
ดร. ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน คณะกรรมการเอธานอลแห่งชาติ กล่าวถึงโครงการไทยเบนซิน ว่า
แนวคิดที่กลุ่มกุหลาบแดง คิดค้นไทยเบนซินมานั้นไม่ได้แตกต่างจากแนวคิดในเรื่องการผลิตเอธานอลเลยเพราะถ้าดูในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตนั้นจะเห็นว่าเอธานอลผลิตจากพืชในกลุ่มที่ให้แป้งและน้ำตาล ซึ่งได้แก่ มันสัมปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ข้าวรวมไปถึง ข้าวฟ่าง ชานอ้อยส่วนแนวคิดของเขานั้นพยายามที่จะเอาผลิตผลทางการเกษตรที่เหลือใช้มาผลิตเป็นไทยเบนซินซึ่งกระบวนการเหล่านั้นถามว่าใหม่หรือไม่ ความจริงเทคโนโลยีนี้มีอยู่แล้วแต่ยังไม่เคยนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ กระบวนการนี้เรียกว่า กระบวน เซลลิสต์ เทคโนโลยี (CELLYST TECHNOLOGY) ที่จะย่อยสลายเซลล์ของพืชที่จะนำมาผลิตเป็นเอธานอล เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไปเพราะพวกฟางข้าว หรือชานอ้อย คือเซลลูโลส ของพืช เราจึงเรียกว่า เซลลิสต์ เทคโนโลยี
เทคโนโลยีนี้ ในห้องแลบมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย ต่างประเทศแต่คนที่กำลังเริ่มทำเป็นเชิงพาณิชย์ มีแล้วในบราซิล ที่จะนำชานอ้อยมาผลิตเป็นเอธานอลสหรัฐอเมริกา เอาซังข้าวโพด มาผ่านกระบวนการนี้ ญี่ปุ่นก็มีเทคโนโลยีนี้แล้วและพยายามจะขายเทคโนโลยีนี้ให้ประเทศต่าง ๆ โดยหลักการแล้วก็คือการผลิตเอธานอลจากเศษวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งจุดนี้สามารถที่จะนำมาใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินหรือใช้โดยตรงก็ได้
ต้นทุนจะถูกจริงหรือไม่ ถ้าเราคำนวณต้นทุนจากห้องปฏิบัติการ วัตถุดิบนำชานอ้อย ฟางข้าว มาได้ฟรีเพราะไม่ได้ซื้อมาในปริมาณมาก ในห้องแลบผ่านกระบวนการต่างๆ เครื่องมือต้องลงทุนเท่าไรเทียบกับการลงทุนในเชิงพาณิชย์ที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ต้นทุนที่คำนวณจริงๆ คงจะต้องระมัดระวัง ต้นทุนในห้องแลบเครื่องมือไม่เท่าไร ลืมไปว่าถ้าไปสร้างโรงงานจริง ต้องทำอย่างไร
เริ่มต้นตั้งแต่พื้นที่ โรงงาน เครื่องจักร ระบบบำบัดน้ำเสีย มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายถ้าถามว่าเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนหรือไม่ ตอบได้ว่า ต้องสนับสนุนแต่จะทำในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่นั้นต้องมีศึกษาในรายละเอียดว่าต้นทุนที่แท้จริงเท่าไร
กลุ่มกุหลาบแดงต้องแสดงให้คนเห็นว่าทำได้ ต้นทุนเป็นเท่านี้ จริง ต้องสร้างความเชื่อถือให้ได้ก่อนจุดนี้เป็นเรื่องที่ดี หน่วยงานของรัฐ อย่างเช่น กรมพัฒนาแรงงานทดแทน ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต้องให้การสนับสนุนเพราะเป็นแนวคิดเหมือนกันที่สำนักงานเรากำลังจะไปขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้เข้ามา ถ้าขณะนี้สามารถนำชานอ้อยมาผลิตเป็นเอธานอลได้มันก็จะไปช่วยอุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาล ฟางข้าว มาผลิตได้ ก็จะช่วยชาวไร่ชาวนา
วัตถุดิบที่ใช้ วันนี้ถ้าทำในเชิงพาณิชย์ ตัวที่น่าจะเกิด คือ มันสัมปะหลัง แต่ตัวที่เขามอง คือ ชานอ้อยฟางข้าว ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ แต่ขอให้พิสูจน์ให้เห็นผลในเชิงปฏิบัติก่อน
พร้อมสนับสนุนโครงการเอธานอลถ้าถามว่าได้หรือไม่ ทำได้เพราะถ้าสามารถตั้งโรงงานแล้วได้บีโอไอสิทธิประโยชน์สูงสุด ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต ได้หมดทุกอย่าง เพราะเป็นเอธานอลเหมือนกันแต่ใช้วัตถุดิบไม่เหมือนกันเท่านั้น จุดนี้ต้องส่งเสริม
แต่ถ้าจะมาผลิตที่โรงงานที่มีอยู่ ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการใหม่ เพราะวัตถุดิบจะเป็นคนละตัวกันต้องใช้อีกกระบวนการหนึ่ง จะต้องมีกระบวนการเปลี่ยน เซลลูโลสโดยเปลี่ยนโมเลกุลก่อนที่จะเข้ากระบวนการหมัก และกลั่น
สำหรับ ปตท. เขาเอาพืชในกลุ่มที่ให้น้ำมันมาผลิตเป็นไบโอดีเซล ผ่านกระบวนการสกัดเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคนละสูตรกันแต่กระบวนการเหล่านี้ทำในเชิงพาณิชย์ค่อนข้างลำบาก ถ้าจะทำเชิงพาณิชย์จริงๆ ควรจะเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า ทำให้เป็นเอสเตอร์
คือเอาเอธานอลเข้ามาผสมด้วย แต่อย่างไรก็ดี โครงการไบโอดีเซล คงใช้เวลานานเพราะวัตถุดิบแต่ละชนิด สามารถนำไปผลิตสินค้าอื่นที่มีมูลค่ามากกว่าได้ เช่น น้ำมันปาล์มผลิตเป็นน้ำมันพืชจะมีราคาแพงกว่า และน้ำมันดีเซลก็มีราคาไม่แพงมากซึ่งหากรัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือแล้ว จะเพียงพอหรือไม่ เกษตรกร จะนิยมทำหรือไม่ถ้าจะเกิดก็ไม่ใช่วงกว้าง แต่จะเป็นวงแคบๆ เพราะวัตถุดิบมีไม่มากเหมือนมันสัมปะหลังไม่เหมือนมาเลเซีย เพราะเอาปาล์มมาทำได้ เพราะปาล์มมาเลย์ล้นตลาดแต่ราคาปาล์มของเราสูงมาก
พืชที่นำมาผลิตได้มีหลายชนิด แต่ต้องดูที่ว่าวัตถุดิบนั้นมีปริมาณเพียงพอกับการบริโภคของคนหรือไม่ซึ่งถ้านำมาใช้แล้วก็จะต้องมีอย่างต่อเนื่อง ให้บริการทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าวันนี้ วันหน้าหมดจะเกิดผลกระทบ ตรงนี้เป็นสิ่งที่โรงกลั่นน้ำมันห่วงมาก ว่าจะสามารถซัพพลายได้เพียงพอหรือไม่ตอบสนองประชาชนทั่วประเทศได้หรือไม่
เขาเพียงแต่เสนอ ไพลอทแพลนของเขาว่าเทคโนโลยีทำได้จริง เพื่อให้คนที่จะมาลงทุนมองเห็นและไปซื้อเทคโนโลยีของกลุ่มนี้มาผลิต เขาเพียงแค่ขายเทคโนโลยีเท่านั้นเพราะเขาคือนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นพัฒนา
แนวนโยบายของเราจะยกเลิก เบนซิน ออคเทน 95 เพราะมี MTBE เป็นส่วนผสมซึ่งต้องนำเข้ามาปีละ 3,000 ล้านบาท ใช้เอธานอลผสมแทน เป็นแกสโซฮอล์ วันใดวันหนึ่งเอธานอลหมด ฟางข้าวหมดจะต้องมานำเข้าวัตถุดิบก็จะไม่คุ้มทุน ถ้าใช้มันสัมปะหลัง วัตถุดิบมีเหลืออยู่แล้วซึ่งในเรื่องของซัพพลายสำคัญมาก
ในเดือนหน้าโรงงานผลิตเอธานอลจะเสร็จเรียบร้อยเราก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าใช้แล้วไม่เกิดผลกระทบ ราคาก็ถูกกว่า อัตราเร่งดีกว่าเพราะตรงนี้คือแอลกอฮอล์ เหมือนกับรถแข่งแรงๆ ต้องเติมแอลกอฮอล์ ทำให้ออกตัวแรงกว่า เพราะคือออคเทนบูสเตอร์ เมื่อประชาชนรู้สึกดี หันมาใช้กันมาก ก็จะเกิดผลดี ซึ่งความจริงแล้วไม่เลิกผลิตก็ได้น้ำมันออคเทน 95 แต่เพิ่มภาษี MTBE เพราะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ใครอยากใช้ก็ใช้พอถึงเวลาประชาชนก็จะเลิกใช้ไปเอง
โรงงานที่พระนครศรีอยุธยาจะแล้วเสร็จในเดือนหน้า ถ้าออคเทน 95 ประสบความสำเร็จก็จะทำออคเทน 91 ซึ่งก็จะเป็นแกสโซฮอล์ ออคเทน 91 โดยเป็นแผนอนาคตคาดว่าจะเป็นอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า ส่วนดีเซล ก็จะเป็นดีโซฮอล์
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์, ราชวัตร แสงจันทรา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51690