ชีวิตคือความรื่นรมย์
คีตกวี
2 ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวได้หลายทศวรรษ อ่านและเขียนบทร้อยกรองมาก็มาก ซาบซึ้งบทเพลงดี ๆ จนขึ้นใจหลายหลากมากมาย
แต่จนบัดนี้ข้าพเจ้าผู้อยากเป็นคนเขียนบทกวีสำหรับให้ใครใส่ทำนองได้เพราะๆ (ที่เรียกกันว่าบทเพลง) ก็ยังไม่เคยมีโชคดีได้สัมฤทธิ์ผลสมปรารถนาเสียที
มันเป็นเพราะอะไรหนอ จึงได้แคล้วคลาดทุกที
สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยเขียนกลอนไว้ชื่อ "จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง" โดยได้ความบันดาลใจจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในใจของเขา ต้องจากไปทำงานอยู่ในประเทศลาวจากจดหมายที่เธอเขียนถึงเขาบอกถึงความห่วงหาอาทรว่า ถ้าคิดถึงกันวันใดขอให้เงยหน้าดูดวงดาวแล้วอธิษฐานขอให้ดวงใจไปพบกัน ณ ที่นั้น
เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเขียนบทกวีอันซาบซึ้งว่า
"แม้อยู่ห่างต่างถิ่นแผ่นดินไหน
ถ้าวันใดคิดถึงถิ่นแผ่นดินสยาม
จงมองดาวพราวพร้อยลอยฟ้างาม
เพราะทุกยามฝากใจไว้กับดาว"
"ดังสำเนียงเสียงเพื่อนเตือนมาว่า
ทุกเวลาห่วงหวงกับห้วงหาว
คืนฟ้าหมองดาวอับแสงวับวาว
แต่ยังพราวโชติช่วงในดวงใจ"
"คือสำเนียงเสียงสั่งจากฝั่งโขง
ผ่านรอบโค้งฟ้ากว้างสว่างไสว
เคลียสายลมพรมอุ่นละมุนละไม
เหมือนเรียงไห้เจ้าพระยาที่อาวรณ์"
เมื่อ "เนรัญชรา" นำบทกลอนชั้นนี้ไปใส่ในทำนองเป็นเพลงและให้ชื่อเพลงว่า "จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง" จึงเป็นเพลง (ที่อาจเรียกว่า) อมตะได้เพลงหนึ่งถึงบัดนี้
น่าเสียดายที่ สนธิกาญจน์ ด่วนจากเร็วเกินไป แต่ก็ไม่เร็วกว่าที่จะได้ยินได้ฟังและได้ยิ้มด้วยความสุข (ปนเศร้า) เมื่อได้ฟังใครๆ ก็ร้องเพลงนี้ได้เมื่อประมาณ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
เพลงนั้นทำให้พวก "หลงกลอน" หลายคนอยากเป็นอย่าง สนธิกาญจน์
แต่เพื่อนคนหนึ่งไม่เพียงแต่ "อยาก" เท่านั้น เขาลงทุนไปหาครูเพลงเลย
ครูเพลงที่ยิ่งใหญ่นั้นคือครู เอื้อ สุนทรสนาน หรือผู้ใช้นามเวลาร้องเพลงว่า "สุนทราภรณ์" เหมือนชื่อวงดนตรีที่ท่านเป็นผู้สร้างขึ้นจนเป็นอมตะ
เพื่อนคนนั้น สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแต่งเนื้อร้องโดยอาศัยความเป็นกวี แต่งเพลงหลายๆ เพลงที่โด่งดังคับฟ้า
ดังเพลงหนึ่งที่เกิดจากความบันดาลใจ ที่เขาเล่าในตำนานว่า
ในช่วงที่ยากจน เขากับ สนธิกาญจน์ ไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ในวันที่หอบข้าวของเข้าบ้านเช่านั้นลำบากยากแค้น จนแม้แต่หมอนหนุนศีรษะก็ต้องใช้หนังสือมาซ้อนๆ กันหนุนแทน
จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่า หากมีสาวสวยสักคนส่งหมอนที่เกิดจากความรักความเอื้ออาทรมาให้ คงจะเป็นสุขสักเพียงไหน
จึงเกิดบทกลอนอันหวานซึ้งดังนี้
"คืนวันนี้ถ้าพี่นอนหนุนหมอนน้อย
ใจจงคล้อยคิดถึงน้องเจ้าของหมอน
รอยแก้มนิ่มริมเขนยน้องเคยนอน
หนาวหรือร้อนหมอนคงเอื้ออุ่นเจือจุน
"น้องเคลียแก้มเกลือกไว้ก่อนให้พี่
ซ้ำกราบที่กลางหมอนเคยนอนหนุน
ยามพี่แนบหน้านอนหมอนละมุน
จงหอมกลุ่นแก้มและกราบกำซาบทรวง"
เมื่อครูเอื้อบรรจุทำนองอันอ่อนหวาน แล้วให้ลูกศิษย์รักของครูคือ บุษยา รังษีสาวน้อยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร้องด้วยแก้วเสียงอันไพเราะของสาวน้อยวัยกำดัดนั้นคนทั้งบ้านทั้งเมืองก็ร้องและจำเพลงนี้ได้ซึ้งใจยิ่งนัก
แม้กระทั่งคนที่จำชื่อเพลงนี้ไม่ได้ ก็ยังอุตส่าห์เรียกเพลงนี้ว่า "หมอนน้อย" ซึ่งไม่โรแมนติคเท่าชื่อจริงของเพลงนี้ที่มีชื่อจริงว่า "ฝากหมอน"
บทกวีของสวัสดิ์ ธงศรีเจริญ "กวีศรีเมืองชล" บรรณาธิการ "เสียงเมืองชล" ที่โด่งดังมีมากมายไม่ว่าจะเป็น "หยาดฝนแห่งความรัก" "หงส์สะบัดบาป" "ด้วยรักและคิดถึง" เป็นต้น
ด้วยความที่อยากเป็นนักแต่งเพลงอย่างเขา สวัสดิ์ เคยพาผู้เขียนไปนั่งคอยครูเอื้อที่โรงเรียนสุนทราภรณ์การดนตรี แต่บุญของข้าพเจ้าไม่ถึงจึงเป็นอันคลาดแคล้วไม่ได้พบครูเอื้อถึงหลายครั้งหลายครา
เราไม่ได้ละความพยายาม มะเนาะ ยูเด็นเพื่อนที่รักสนิทอีกคนหนึ่ง เคยชักชวนไปหาครู "ธาตรี" หรือ วิชัย โกกิลกนิษฐ์ ผู้ทำให้ รวงทอง ทองลั่นทม (หรือรวงทอง ทองลั่นธม-ศิลปินแห่งชาติปัจจุบัน) โด่งดังด้วยเพลง "เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น" " ลืมเสียเถิดอย่าคิดถึง" "ยังจำได้ไหม" ฯลฯ
หรือเพลง "น้ำตาดาว" ในเสียงชวนสะอื้นของ บุษยา รังษี
เมื่อพยายามไปหาครู "ธาตรี" ที่กรมประชาสัมพันธ์ไม่พบ ไปหาที่บ้านก็ไม่พบ ผู้เขียนจำเป็นต้องกลับไปสอนหนังสือที่ต่างจังหวัด จึงได้เขียนกลอนสั้นๆ ฝาก มะเนาะ ยูเด็นให้ช่วยเป็นสื่อถึงครู "ธาตรี" ไว้
ให้ชื่อกลอนว่า "อย่า" โดยมีเนื้อกลอนว่า
"ฝนเจ้าเอ๋ย
อย่าหลั่งเลยน้ำตาข้าจะไหล
อย่าแลบเลยสายฟ้าขาดบาดใจ
อย่าร่ำไห้เลยฟ้าอกข้าครวญ"
"อย่าค่ำเลยมืดแล้วจะแคล้วรัก
แม้พัดหนักสายลมอย่าพรมหวน
(วรรคที่สามตรงนี้จำไม่ได้)
อกข้าป่วนเหลือแล้วไม่แคล้วตาย"
กลอนมีแค่นี้
หลายปีกว่าครู "ธาตรี" จะนำกลอนของผู้เขียนไปขยายออกให้ยาวเป็นเพลงได้เพลงหนึ่งโดยฝากคำกับ มะเนาะ ว่า ครูเสียดายกลอนนั้นสั้นเกินไป จึงขยายให้ยืดยาวออกไปอีกแต่คงรักษาโครงเรื่องไว้เหมือนเดิมและรักษาชื่อเพลงว่า "อย่า" ไว้ด้วยความรักที่ครูมีต่อพวกเรา(ที่เคยไปเล่นกลอนใน "ลับแลกลอนสด" ที่ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหมในช่วงปี 2502
เพลง "อย่า" นี้ ดูเหมือนคนร้องจะเป็น อ้อย อัจฉรา (ผู้ร้อง กุญแจใจ อ้อยใจ ฯลฯ) โดยครูขึ้นเพลงว่า
"อย่าโปรยอย่าปรายเลยสายฝน อัสสุชลข้าจะหลั่งรินไหล" อะไรทำนองนี้ ต่อจากนั้นจำไม่ได้แล้วแต่เป็นเพลงที่ฟังแล้วเศร้ามากเพลงหนึ่ง
เมื่อปีสองปีมานี้ ผู้เขียนได้รู้จักครูเพลงที่น่ารักหลายท่านแต่ความเป็นคนเจียมตัวไม่กล้าไปเซ้าซี้ไม่ว่าจะเป็นครู ประสิทธิ์ พยอมยงค์ (ที่สมองจำอะไรไม่ได้ในช่วงหนึ่งแต่ยังดีที่ท่านอุตส่าห์แต่งทำนองให้เพลง "ร่วมสานฝัน"
ที่ผู้เขียนเขียนเนื้อให้เป็นเพลงประจำบริษัทเทเลคอมเอเซีย มาได้ 1 เพลง) หรือครูเพลงศิลปินแห่งชาติเช่นครู ชาลี อินทรวิจิตร ครู สุรพล โทณวณิก ครู พยงค์ มุกดา ฯลฯ
ที่น่าเสียดายที่สุด เคยปรารภกับ "ลุงแจ๋ว" ครู สง่า อารัมภีร ศิลปินแห่งชาติ ท่านก็เคยเมตตาว่าให้เขียนบทกวีออกมาสิแล้วไปคุยกับท่าน
ความเกรงใจของผู้เขียน ทำให้จนในที่สุดท่านก็จากไปก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้เรียนเอาความรู้จากท่านไว้
ความปรารถนาที่อยากเป็นนักแต่งเพลงหรือ " คีตกวี" จึงค้างเติ่งมาด้วยประการฉะนี้แล
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51682