ประกันภัย
ระวังประกันภัยขี้โกง (5)
ฉบับนี้เป็นฉบับที่ 5 สำหรับการพูดคุยในหัวข้อ "ระวังประกันภัยขี้โกง"
ยังคงที่จะย้ำกับท่านผู้อ่านทุกท่านว่า เรากำลังพูดคุยกันในเรื่อง การเอารัดเอาเปรียบ ความไม่สุจริตใจของบริษัทประกันภัยในการทำธุรกิจ ที่มักโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อคนทั่วไปอย่างหนึ่งแต่ตอนปฏิบัติก็ทำอีกอย่างหนึ่ง โดยไม่มีความจริงใจต่อลูกค้าและประชาชนซึ่งนับวันยิ่งมีความเคลือบแคลงแอบแฝงตามภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง
แก่งแย่งลูกค้าด้วยกลวิธีสารพัด
ทั้งนี้สังคมใหม่ต้องการความสุจริตโปร่งใส่และเป็นธรรม หรือที่ผู้คนทั้งหลายเรียกมันว่า "ธรรมาภิบาล"หรือ "ธรรมรัฐ" ซึ่งหากสังคมทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นการเมือง ข้าราชการ ธุรกิจการค้า และประชาชนมีธรรมาภิบาลแล้วสังคมก็จะน่าอยู่ มีแต่คนที่สะอาดทั้งกายและใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบกันมีความเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมาสามารถตรวจสอบและถ่วงดุลกันได้อย่างสบายอกสบายใจไม่ต้องกลัวว่าใครจะมากระชากหน้ากากมาแทงข้างหลัง
หมายความแต่ก็มิได้ทุกวันนี้สังคมมีแต่คนเลวคนไม่ดีสังคมยังมีคนดีอยู่มากแต่หากว่ามีคนเลวแทรกตัวอยู่มากและเชื้อเลวนั้นกำลังขยายพันธุ์จึงมีความจำเป็นต้องหาทางกำจัดเชื้อชั่วเหล่านั้นมิให้ลุกลามจนเป็นสังคมที่เน่าเฟะกว่าที่เป็นอยู่
ในการทำธุรกิจประกันภัยก็เช่นกัน ประกันภัยที่ดีก็มีอยู่มาก แต่ประกันภัยที่เลวที่ชอบเอาเปรียบชอบใช้เล่กลโกงก็มีแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าเช่นกัน ถ้าพวกเราประชาชนไม่ลุกขึ้นมาตรวจสอบไม่ให้ความสำคัญ ไม่พยายามล่วงรู้พฤติกรรมชั่วของพวกมันและช่วยกันกำจัดมันออกไป
วันข้างหน้าก็จะมีแต่ประกันภัยเลวๆ ประกันภัยขี้โกงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดหาความน่าเชื่อถือไม่ได้และประกันภัยดีๆ คนดีๆก็จะหมดไปในที่สุดเพราะอยู่ไม่ได้
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าประกันภัยไหน ดี ประกันภัยไหนขี้โกงก็อย่างที่ได้พูดไว้แต่ข้างต้นว่าสังคมที่ทั้งคนดีคนเลว อย่าไปมองคนที่การแต่งตัวดี มีฐานะการมีรสนิยมหรู พูดจาน่าฟัง จะเป็นคนดี แต่ควรดูที่พฤติกรรม การแสดงออกที่มีความจริงใจโปร่งใส่ตรงไปตรงมาไม่มีเล่เหลี่ยมแอบแฝงระยะเวลาและความเสมอต้นเสมอปลายจะเป็นตัวช่วยชี้วัด บริษัทประกันภัยก็เช่นกันอย่าไปดูว่าเป็นบริษัทที่มีตึกใหญ่โต โฆษณาชวนเชื่อให้หลงไหล ทั้งบริการดี มีรถให้ใช้ ถึงที่เกิดเหตุไว
ใช้ค่าสินไหมภายใน 24 ชั่วโมง หรือซ่อมไม่ดีคืนทุนประกันสิ่งที่โฆษณาเหล่านั้นเป็นมาพูดการพ่นของฝ่ายผู้แสวงหาประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวการที่เขาพูดยกย่องตนเองพูดแต่เรื่องดีของตน อาจเป็นพวกมีดีอวดดีก็ได้หรืออาจเป็นพวกอวดดีขี้โม้ก็ได้ ที่พูดเช่นนี้มิได้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายนะครับท่านลองคิดย้อนหลังไปดูสิว่า บริษัทประกันภัยที่โฆษณาพวกนั้น มีพฤติกรรม 13-14ข้ออย่างที่เคยกล่าวในฉบับก่อนๆหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่ใช่บริษัทที่ดีจริง
ถ้าจำไม่ได้จะยกหัวข้อมาทบทวนอีกครั้ง
1.) ขายเบี้ยถูกโดยไม่บอกความคุ้มต่ำเพียงใด
2.)ขายเบี้ยแพงบอกคุ้มครองสูงแต่พอจ่ายค่าสินไหมกลับจ่ายต่ำมาก
3.)เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกอ้างไม่มีคู่กรณี
4.)ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นตาม พรบ.ด้วยข้ออ้างสารพัด
5.) ให้ผู้เอาประกันสำรองจ่ายแต่กลับเบิกไม่ได้
6.)เกี่ยงจ่ายค่าเสียหายอ้างต่างคนต่างผิด
7.) จ่ายค่าเสียหายตาม พรบ.แต่ให้เซ็นชื่อยอมประนีประนอมค่าเสียหายทั้งหมด
8.) จ่ายค่าเสียหายตาม พรบ.ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด
9.) โกงประวัติดีลูกค้า
10.) ประเมินค่าเสียหายล่วงหน้าแบบโอเวอร์
11.)ปฏิเสธซ่อมอ้างเป็นส่วนตกแต่งหลังทำประกัน
12.)เก็บค่าเสียหายส่วนแรกเป็นเปอร์เซนต์นอกเหนือเงื่อนไข
13.) จับลูกค้าส่งตำรวจให้เสียค่าปรับ-ข่มขู่
14) โกงแบบบูรณาการ ฯลฯ
ความจริงมิได้มีเพียง 13-14 ข้อ ที่เคยยกตัวย่าง ยังมีพฤติกรรมอีกมากมายที่ไม่ได้นำมากล่าว เช่นอ้างว่าเปลี่ยนอะไหล่แท้ให้แต่ความจริงเป็นอะไหล่เทียมอ้างว่าเปลี่ยนอะไหล่ให้แต่ความเป็นแค่ซ่อมให้
อ้างว่าซ่อมสีแห้งช้าเกรดดีแต่ความจริงเป็นสีแห้งเร็วเกรดทั่วไป
อ้างว่าซ่อมแบบเคาะลอกสีถึงเนื้อเหล็กแต่ความจริงโป้วหนาและพ่นสีทับเลยประกันซ่อมอู่ห้างแต่ความจริงส่งไปซ่อมอู่นอกห้าง ฯลฯ
ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมซึ่งบริษัทประกันภัยก็มักจะไปโทษว่าอู่ที่ซ่อมจัดการไม่ดีแต่ความเป็นจริงประกันภัยเป็นฝ่ายสั่งการเองเพราะถ้าไม่จัดการตามสั่งก็จะเบิกค่าซ่อมไม่ได้หรือได้ไม่ตามตกลง แต่ก็มีบางอู่ที่อาจจะขี้โกงบ้าง
นอกจากจะดูพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว ยังต้องไปดูว่าบริษัทนั้นมีเรื่องถูกร้องเรียนและฟ้องร้องที่เกิดขึ้นกี่ครั้งในรอบปี ทั้งที่กรมการประกันภัย คณะอนุญาโตตุลาการ ศาล หน่วยงานรัฐรวมทั้งหนังสือพิมพ์สื่อมวลชนต่างๆ ถ้าถูกฟ้องร้องหรือร้องเรียนมากก็แสดงว่าไม่ดีจริง
ส่วนเรื่องบริการนั้นต้องสอบถามกับคนที่ใช้บริการจริงๆ ว่าคนส่วนใหญ่ใช้แล้วเป็นอย่างไรหมายความถึงเคยเกิดอุบัติเหตุและได้รับการบริการเป็นอย่างไร มิใช่ เพียงแค่เคยทำประกันเท่านั้น
โดยสรุปคือ "หลงเชื่อเพียงคำพูดคำโฆษณา แต่ให้ดูถึงพฤติกรรมจริง ทั้งปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมา"เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่จะดูเป็นสัจจธรรมต้องยึดมั่นประจำใจคือ "ความไม่ประมาทเพราะความประมาทเป็นหนทางของความตาย และความเสื่อมทั้งปวง"ธรรมข้อนี้เป็นสิ่งเตือนสติของเราได้เป็นอย่างดี ทำอย่างไรเราจึงจะไม่ประมาทนอกจากการเตือนสติตนเองตลอดเวลาแล้ว เราจะต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนถึงเงื่อนไข ความคุ้มครองคำมั่นสัญญา เอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนชื่อเสียงบริษัทประกันภัยและตัวแทนประกันภัยที่เราติดต่ออยู่ด้วยว่ามีพฤติกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันมีน่าเชื่อ แค่ไหนเพียงใดไม่มีใครที่ไหนจะช่วยเราได้ดีเท่าใดนัก นอกจากของตัวเราเองที่ต้องเป็นที่พึงแห่งตน
วิธีที่ดีที่สุดคือเราจะต้องศึกษาค้นคว้าแสวงหาข้อมูลจากทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการสอบถามจากแหล่งข้อมูล เช่น กรมการประกันภัยกระทรวงพาณิชย์ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประกันภัย และตัวแทนนายหน้า
กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวข้อง เช่น อู่ซ่อมรถ ร้านจำหน่ายอะไหล่ โรงพยาบาลโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บริการที่เคยประสบปัญหาต้องร้องเรียนฟ้องร้องบริษัทประกันภัยกลุ่มต่างๆเหล่านี้จะเป็นเครื่องช่วยชี้นำทางให้เราได้ข้อมูลมาเพียงพอที่จะตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัยอย่างไร ซื้อกับใคร หมายถึงจะซื้อเองกับบริษัทประกันภัยโดยตรง หรือจะมอบให้ตัวแทนบริษัทประกันซื้อให้ หรือจะมอบให้นายหน้ามืออาชีพซื้อให้
แล้วจะซื้อกับบริษัทประกันภัยใด ในเงื่อนไขใดหากเกิดอุบัติเหตุความเสียหายเกิดขึ้นมาจะต้องทำอย่างไรและถ้าไม่สามารถตกลงกันได้หรือเกิดข้อพิพาทกับบริษัทประกันภัยขึ้นมา เช่นประกันภัยปฏิเสธการจ่ายทั้งหมด หรือบางส่วน เราจะต้องทำอย่างไร กับใคร ที่ไหนถ้าเราสามารถศึกษาหาข้อมูลได้ชัดเจน เรื่องต่างๆ เหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ถ้ามีข้อสงสัยไม่แน่ใจก็ให้รีบโทรปรึกษาสายด่วนประกันภัยโทร. 1186 ของกรมการประกันภัย นะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51616