รู้ลึกเรื่องรถ
เทคนิค แจกวาร์ เอกซ์เจ
สาเหตุที่ผมนำเทคนิคของรถ แจกวาร์ เอกซ์เจ มาแนะนำต่อจาก โรลล์ส-รอยศ์ ซึ่งเป็นรถสัญชาติอังกฤษทั้งคู่นั้น เป็นความบังเอิญ เนื่องจากรถทั้ง 2 รุ่นนี้ออกจำหน่ายเมื่อต้นปีนี้ในเวลาใกล้เคียงกัน และมีเทคโนโลยีใหม่บางอย่างที่น่าสนใจไม่ได้นำมาลงเพราะชอบหรือเข้าข้างรถอังกฤษเป็นพิเศษนะครับ โรงงาน แจกวาร์ แห่งเมืองโคเวนทรีที่มีประวัติยิ่งใหญ่ยาวนานนี้ หากินกับ "ความสวย" ของตัวถังรุ่น เอกซ์เจ มาหลาย10 ปีแล้วครับ เป็นรถเก๋งทรง "แบน" ที่มองดูเพรียวลม จุดเด่นอยู่ที่ 2 ลอนที่ฝากระโปรงหน้าตามแนวโคมไฟหน้าทั้ง 2 คู่ และช่วง "เอว" คือบริเวณบังโคลนหลังถัดจากประตูหลังซึ่งเป็นโหนกสูงขึ้นแล้วเรียวลาดไปจนถึงส่วนท้าย
แน่นอนว่าลูกค้า เอกซ์เจ รุ่นแรกๆ นั้น ได้ทั้งความสวยและคุณภาพและเทคนิค คือราวๆ 40 ปีที่แล้วแต่หลังจากนั้นไม่นานโรงงานนี้ก็ประสบปัญหามาตลอด ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องคุณภาพลดลงไปมาก ลูกค้าที่ยังคงซื้อรถตระกูลนี้ จึงมีเพียงพวกที่ยึดติดกับชื่อเสียงในอดีต
กับพวกที่หลงใหลรูปทรงเท่านั้น และถ้าไปขายในประเทศที่มีเครือข่ายบริการหลังการขายไม่เพียงพอหัวข้อแรกที่ลูกค้ารถรุ่นนี้คุยกันหลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว คือการถามว่าเข้าอู่ซ่อมปีละกี่เดือน
ยุคตกต่ำที่สุดของรุ่น เอกซ์เจ คือช่วงที่ฝ่ายการตลาดหลงผิด คิดจะเอาใจลูกค้าชาวสหรัฐ ฯหรือเพราะเหตุใดผมก็ไม่ทราบแน่ จัดการเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายเป็นรูป 4 เหลี่ยมผืนผ้าและก็ได้เอกซ์เจ รุ่นอัปลักษณ์ที่สุดในประวัติอันยาวนานของรถตระกูลนี้สมใจลูกค้าประจำหลายรายบอกว่า มันเป็นการ "ทรยศ" ที่ให้อภัยกันไม่ได้แล้วเปลี่ยนไฟหน้ามาเป็นไฟกลมอย่างเดิมแล้ว โรงงานนี้ก็ยังขาย "ความสวย" ของรถนี้ต่อไปได้อีกแต่จำนวนลูกค้าและส่วนแบ่งในตลาดรถหรูของรถนี้ค่อยๆ หดหายลงไปเรื่อยๆเพราะลูกค้าสมัยนี้ที่ยอมควักเงินซื้อรถระดับนี้ยังต้องการสิ่งอื่นตอบแทนอีกหลายอย่างนอกเหนือจากความสวยครับ
ปัญหาของ เอกซ์เจ ที่สู้คู่แข่งไม่ได้ คือเนื้อที่ผู้โดยสารด้านหลัง และความจุของที่ใส่สัมภาระท้ายรถซึ่งโรงงานทราบดีมาตลอด แต่ไม่กล้าแตะต้อง เพราะจะกระทบกระเทือนต่อความสวยอย่างมากโดยเฉพาะหลังคาส่วนหลังซึ่งเตี้ยมาก รับกับรูปทรงของบังโคลนและฝากระโปรงหลังทำให้รถรุ่นนี้ดูสวยและเพรียวกว่ารถอื่นระดับเดียวกัน ผมเคยเห็นเจ้าของรถรุ่นนี้ที่ไม่ได้ขับเองและยอมนั่งด้านหลังศีรษะยันหลังคาไปทำงานทุกวัน โรงงาน แจกวาร์ น่าจะมอบโล่"จงรักภักดี" ให้สักอันนะครับ
ทุกสิ่งเหล่านี้เป็นอดีตไปแล้ว เมื่อ ฟอร์ด ซึ่งครอบครอง แจกวาร์ อยู่พร้อมกับเงินทุนแบบไม่อั้นตัดสินใจขายคุณภาพแทนชื่อเสียงเดิมและความสวย พัฒนา เอกซ์เจ ใหม่หมดซึ่งผมว่าถูกต้องที่สุดและน่าจะทำมานานแล้วครับ ไม่มีอะไรขายได้ยั่งยืนเท่าคุณภาพครับถ้าเป็นรถก็ต้องพ่วงบริการหลังการขายเข้าไปด้วย แต่ตอนนี้เรามาดูกันแค่คุณภาพกันก่อน
ทีมวิศวกรของรถรุ่นนี้มีอิสรภาพพอสมควร เพราะไม่ต้องยึดติดกับเทคนิคของ เอกซ์เจ รุ่นเดิมเป้าหมายอยู่ที่การสร้างรถให้ดีกว่า หรืออย่างน้อยดีเท่ากับคู่แข่งในระดับเดียวกันซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่ามีอยู่เพียง 4 รายเท่านั้น คือ "เบนซ์" รุ่น เอส/เอาดี เอ 8/บีเอม ฯ ซีรีส์ 7 และเลกซัสแอลเอส 430 ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นกันไปคนละอย่าง ผมเคยเห็นภาพถ่ายในโรงงานประกอบรถแจกวาร์ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีป้ายแขวนเตือนใจพนักงานไว้ว่าเราจะสร้างรถให้ดีเท่ากับรถเยอรมันชั้นยอด
เป็นการยอมรับที่หายากในสมัยนี้และน่าชมเชยมาก แจกวาร์ เอกซ์เจ เป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ใช้ตัวถังอลูมิเนียมแบบโมโนคอก คือให้ชิ้นส่วนของตัวถัง ทำหน้าที่รับแรงต่างๆโดยไม่ต้องอาศัยโครงสร้างพิเศษแบบสเปศเฟรมที่ใช้อยู่ใน เอาดี เอ 8บรรดาอลูมิเนียมแผ่นซึ่งถูกขึ้นรูปเป็นทรงต่างๆ จึงต้องถูกนำมายึดติดกันด้วยกรรมวิธีต่างๆที่ทันสมัยสุดขีด เป็นเทคโนโลยีที่ส่วนใหญ่ได้มาจากการสร้างยานและสถานีอวกาศซึ่งส่วนใหญ่คือการ "เย็บ" ด้วยหมุดหลายๆ ตัวหรือไม่ก็เป็นการติดกาวประสานด้วยกรรมวิธีพิเศษโดยเฉพาะ
ริชาร์ด แพร์รีย์ โจนส์ ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายเทคนิคของ ฟอร์ดซึ่งผมเคยกล่าวถึงในคอลัมน์นี้มาแล้วเมื่อสองเดือนที่แล้ว เผยว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขออนุมัติจาก "บอร์ด" เพื่อสร้างตัวถัง เอกซ์เจ ด้วยอลูมิเนียม(เพราะมันแพงกว่าเหล็กพอสมควร) ตัวถังของ เอกซ์เจ หนักแค่ 220 กก.ซึ่งหากใช้เหล็กทำจะมีน้ำหนักถึง 360 กก. ส่วนต่างราวๆ 140 กก. นี้ต้องถือว่ามหาศาลนะครับแม้จะเป็นรถขนาดใหญ่ระดับนี้
ถ้าดูแต่ตัวเลขแล้วยังจินตนาการไม่ค่อยได้ ลองนึกถึงน้ำหนักข้าวสารกระสอบกับอีกครึ่งดูครับหรือไม่ก็เป็นน้ำหนักผู้ชายไทยตัวค่อนข้างใหญ่ 2 คน การลดน้ำหนักตัวถังหรือตัวรถลงได้ 140 กก.นี้มีผลพลอยได้ตามมามากมาย การเกาะถนนทรงตัวจะดีขึ้น โดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง การเบรคการเร่งความเร็วและความประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งสำคัญมากในยุคนี้ แพร์รีย์ โจนส์เปิดเผยว่านอกจากเบากว่าแล้ว ตัวถังของ เอกซ์เจ นี้ยังแข็งแกร่งต้านการบิดตัวดีกว่ารุ่นเดิมถึง 60 %
การจะให้รถกันสะเทือนได้ดีมีความนุ่มนวล จะต้องใช้สปริงที่อ่อน คือระยะยุบตัวมากเมื่อรับแรงพวกช่างและวิศวกรของเราจะเรียกว่าสปริงค่าเค (K) ต่ำ พอมาใช้กับตัวถังที่เบา
ก็มีปัญหาอื่นตามมาทันที เพราะน้ำหนักบรรทุกเต็มที่ของรถระดับนี้ประมาณครึ่งตัน พอใช้สปริงอ่อนระดับของตัวถังตอนไม่บรรทุกอะไรเลยกับบรรทุกเต็มที่ (คือผู้โดยสาร 5 คนกับสัมภาระท้ายรถ)จะต่างกันมาก เช่นตอนจอดไม่มีคนในห้องโดยสาร จะสูงโย่งทางออกทางเดียวคือการเปลี่ยนไปใช้สปริงอากาศ หรือสปริงแบบถุงลมซึ่งมีระบบปรับระดับตัวถังอัตโนมัติ
มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเป็นของธรรมดา สปริงอากาศสู้สปริงเหล็กไม่ได้ เพราะมีแรงเสียดทานในตัวครับเนื่องจากมีส่วนที่ต้องเสียดสีกัน ทำให้มีปัญหาขณะขับช้าบนผิวถนนที่ไม่ขรุขระมาก
เพราะถ้าแรงที่ล้อกระทำต่อตัวถัง น้อยกว่าแรงเสียดทานนี้ ระบบกันสะเทือนก็จะไม่ทำงานเลยนั่นคือตัวถังเคลื่อนที่ขึ้นลงเท่ากับล้อ และเราผู้ขับหรือผู้โดยสารก็จะรับรู้ในรูปของความสะเทือนแต่เมื่อไม่มีทางใช้สปริงเหล็กได้ วิศวกรของ แจกวาร์ก็ต้องพยายามลดแรงเสียดทานนี้ลงให้เหลือน้อยที่สุด
"แอร์ ซัสเพนชัน" ของ แจกวาร์ ไม่มีอะไรให้เป็นภาระของผู้ขับ
ทุกอย่างเป็นเรื่องของระบบอัตโนมัติที่ไม่ยุ่งยาก ระดับของรถมีระดับเดียวตายตัวยกเว้นถ้าความเร็วเกิน 100 ไมล์/ชม. (ประมาณ 161 กม./ชม.) ระบบอัตโนมัติจะลดระดับตัวถังลง 15 มม. เพื่อลดแรงต้านอากาศและแรงยกตัวถังจากลม
ชอคอับ ฯ ของ เอกซ์เจ เป็นแบบปรับ "ความแข็ง" อัตโนมัติ และไม่ยุ่งยากเพราะมี 2 ระดับเท่านั้น คือ"ปกติ" กับ "แข็ง" ระดับ "ปกติ" จะให้ความนุ่มนวลดีมาก ส่วนจังหวะ "แข็ง" นั้นระบบควบคุมอัตโนมัติของรถ จะเลือกใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น เช่น
ที่ล้อหน้าขณะเบรคหรือที่ล้อหลังขณะเร่ง หรือบางล้อที่จำเป็นขณะเข้าโค้ง คนขับไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
และไม่รู้ตัวด้วยว่าชอคอับ ฯ ทำงานอยู่ในจังหวะใด
แจกวาร์ บอกว่าได้บทเรียนมาจากลูกค้าของ บีเอม ฯ ซีรีส์ 7 ล่าสุด ที่ปวดหัวกับระบบ ไอ-ดไรฟซึ่งผมว่าเป็นความจริง ผู้ขับรถหรูหราระดับนี้ ต้องไม่มีภาระอะไรให้คิดมากเกี่ยวกับการขับ
เอกซ์เจ มีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 รุ่น เริ่มที่ วี-6 สูบ 3,000 ซีซี ที่ "ยก" มาจากรุ่น เอกซ์ และเอส-ไทพ์พอมาอยู่ในตัวถัง เอกซ์เจ จึงกลายเป็นเครื่องรุ่นประหยัด และทำให้โรงงานนำชื่อ เอกซ์เจ 6กลับมาใช้ได้อีก ถัดมาเป็นเครื่อง วี-8 สูบ 3.5 ลิตร (ซึ่งน่าจะเรียกว่า 3.6 มากกว่า เพราะจุ 3,555 ซีซี) เป็นเครื่องที่พัฒนามาจากเครื่อง 3.2 ลิตรรุ่นเล็กสุดของ เอกซ์เจ เดิม ให้กำลังสูงสุด 262 แรงม้าถัดมาเป็นเครื่อง "มาตรฐาน" ของ เอกซ์เจ ขนาด 4.2 ลิตร 8 สูบเช่นเดียวกัน ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้าและรุ่นสุดท้ายที่เอาเครื่องนี้ไปติดตั้งซูเพอร์ชาร์เจอร์ ช่วยอัดอากาศเข้าเครื่องยนต์ ได้กำลังเพิ่มขึ้นเป็น400 แรงม้า
เกียร์เป็นแบบอัตโนมัติรุ่นสุดยอดของโรงงาน เซดเอฟ คือ รุ่น 6 เอชพี (ZF 6 HP) เดินหน้า 6 จังหวะในโหมด (MODE) สปอร์ทจะลอคจังหวะ 6 ไว้ไม่ให้ทำงาน นอกนั้นเหมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไปไม่มีปุ่มเปลี่ยน ปุ่มเลือกที่พวงมาลัยให้ผู้ขับสับสน มีพิเศษตรงที่เกียร์นี้จะไม่เปลี่ยนไปเกียร์สูงเมื่อผู้ขับถอนคันเร่งหรือกำลังอยู่ในโค้ง และจะเปลี่ยนกลับไปเกียร์ต่ำเมื่อผู้ขับเบรคค่อนข้างแรง (คือระบบใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค)
พวงมาลัยใช้ของ เซดเอฟ รุ่นสุดยอดเช่นเดียวกัน คือ เซอร์โวทรอนิค
ซึ่งมีการผ่อนแรงและอัตราทดแบบแปรผัน ส่วนที่พิเศษสุดจริงๆ และรถคู่แข่งทั้ง 4 ไม่มีคือระบบปรับตำแหน่งแป้นเหยียบทั้งชุด ซึ่งปรับเดินหน้าถอยหลังได้ระบบนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้ขับปรับตำแหน่งตัวได้เข้ากับสรีระ และขับได้ถนัดที่สุดและผมรอดูมานานแล้วว่าทำไมไม่มีใครทำเสียที (มีเฉพาะรถสปอร์ทราคาแพงอยู่ไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่เคยมีระบบนี้) เพราะแม้จะปรับตำแหน่งเก้าอี้ได้ทุกทิศปรับตำแหน่งพวงมาลัยได้ทั้งหน้าหลังและสูงต่ำ (REACH AND RAKE) ก็ยังไม่พอครับ
บางคนขายาวแต่แขนสั้น ปรับจนจับพวงมาลัยถนัดและเหยียบคันแร่งพอดีแล้วปรากฏว่าจับด้ามเกียร์และสวิทช์ที่แผงหน้าปัดไม่ถึง ระบบปรับแป้นเหยียบของ แจกวาร์ เอกซ์เจแก้ปัญหานี้ได้หมด
แพร์รีย์ โจนส์ ซึ่งรับผิดชอบงานพัฒนา เอกซ์เจ รุ่นนี้มั่นใจในคุณภาพและสมรรถนะของรถนี้ขนาดที่นัดนักทดสอบของนิตยสารรถชั้นนำของอังกฤษมาลองนั่ง โดยลงทุนขับให้เอง ตั้งแต่รถนี้ยังไม่ออกสู่ตลาด
เรื่องโดย : เจษฎา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51613