ชีวิตคือความรื่นรมย์
"ดวงใจ"
"โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์สรร แม้ดวงดาวแวววาวอยู่ไกลกันทิพย์สวรรค์สุดเอื้อมมาเชยชม เสียดายชื่ออุษานารี ไยไม่มีเทวามาอุ้มสม ปล่อยให้นางฟูมฟกอกตรมร้าวระบมจิตใจดังไฟราน โอ้ว่าเทวาสุรารักษ์ ทรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์มหาศาล ช่วยดลให้ชู้คู่ชีวานเสียวซ่านเสน่หามาไวไว"
บทกลอนไพเราะนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ามาจากพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องท้าวแสนปมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่เรารู้จักกันดีในพระราชสมัญญา "พระมหาธีรราชเจ้า"
ต่อมาเมื่อวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ หรือกรมโฆษณาการในสมัยก่อนอัญเชิญมาใส่ทำนองก็กลายเป็นเพลงอันไพเราะยิ่ง คนในรุ่นกึ่งศตวรรษขึ้นไป ย่อมซึมซาบในเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี
เพลงนี้ชื่อ "ดวงใจ" ซึ่งทำให้เราคิดถึงนักกลอนคนหนึ่งในวงการกวีร่วมสมัยหรือยุคที่เริ่มหนุ่มสาวต้นปี 2500 เป็นต้นมา จะคุ้นกับชื่อนักกลอนนาม ดวงใจ รวิปรีชา กันเป็นอย่างดี เพราะเธอคือหนึ่งในตำนาน "นักกลอนสี่มือทอง" ของธรรมศาสตร์ยุคเริ่มวรรณศิลป์
ในสี่มือทองนั้น ประกอบด้วย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์คนแรก (ปี 2523) และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2536 ทวีสุข ทองถาวร นักกลอนอิสระและนักแต่งเพลง นิภา บางยี่ขันผู้ได้รับฉายานามจาก "อิงอร" -(ศักดเกษม หุตาคม นักประพันธ์สำนวนหวานปานน้ำผึ้ง) ว่า"บุษบาท่าพระจันทร์" จากการเล่นสักวาทางโทรทัศน์ และน้องนุชสุดท้องในกวีสี่มือทองคือ ดวงใจ รวิปรีชา (ซึ่งในยุคแรกๆ ที่เขียนกลอน ใช้นามปากกาว่า ปิ่นฤทัย รวิปรีชา ตามที่ครูกลอนของเธอคือ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ตั้งให้)
นับแต่รู้จักกับน้องนักกลอนทั้งสี่คนนี้ ข้าพเจ้าก็สนิทสนมมาตลอดเหมือนนักกลอนอื่นๆในวงวรรณศิลป์ธรรมศาสตร์หลายคน เท่าๆ กับน้องๆ ชาววรรณศิลป์จุฬา ฯตั้งแต่ยุคบุกเบิกจนหลายรุ่นต่อๆ มา (ซึ่งชมรมวรรณศิลป์เกิดขึ้นหลังจากข้าพเจ้าจบการศึกษาจุฬาฯไปแล้ว 2-3 ปี) เพราะเป็นกลุ่มที่เราเคยร่วมทำกิจกรรมในวงการกลอนด้วยกันตลอดมา
เริ่มตั้งแต่ เมื่อเราเริ่มตั้ง "ชมรมนักกลอน" เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2502
(ต่อมาเปลี่ยนสถานภาพเป็นสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน) เราได้ไปแข่งขัน-ประชันบทกลอนทั้งในโทรทัศน์และตามเวทีต่างๆ เราได้ร่วมกันจัด "เรือเพลง"เพื่อการบันเทิงในช่วงวันลอยกระทงมานับสิบกว่าปี ซึ่งในการลงเรือนั้นเรามักจะมีการประกวดกลอนสดกัน และที่จำกันได้ คนที่ได้รับรางวัลในปีต่างๆ นั้นมีสี่มือทองที่กล่าวมาแล้วเวียนหน้ากันขึ้นมารับรางวัลเสมอแสดงถึงฝีมือของทุกคนเป็นที่ยอมรับกันว่าแน่จริงๆ
แม้ในช่วงหลัง หลังจาก "ชมรมนักกลอน" กลายเป็น "สมาคมนักกลอนฯ"
ไปแล้วเราเรียกชื่อกลุ่มที่ร่วมตั้งชมรมฯ มาก่อนว่า "ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์"
แล้วจัดการพบปะสังสรรค์เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบกัน บางครั้งก็เชิญผู้มีเกียรติที่ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆมาคุย หรือสนทนา (ไม่เชิงปาฐกถาหรืออภิปราย เพราะเราตั้งเข็มและคำขวัญสำหรับการชุมนุมว่า"เล่นให้เป็นงาน" ทั้งสี่มือทองนั้นก็เป็นสมาชิกที่ใกล้ชิดกับพวกเราอย่างเป็น "เนื้อเดียวกัน" มาตลอด
ผู้เขียนเล่าถึงตำนานตรงนี้เพื่อจะยืนยันว่าทั้งสี่มือทองนั้นเป็นผู้ร่วมวงใกล้ชิดกับกลุ่มของผู้เขียนตลอดมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่า "ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์" ฟังดูจะเป็นเล่นๆ มากเกินไปเวลามีสถาบันต่างๆ เชิญชวนให้พวกเราไปแสดงสักว่า เราถึงเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น"สโมสรสยามวรรณศิลป์" มีการแสดงสักวา (เกือบ) จะเป็นงานหลัก นักกลอนสี่มือทองได้ร่วมไปกับ"ขบวนการรับว่าสักวาทั่วราชอาณาจักร" แทบทุกครั้ง แม้จะไม่ได้ไปด้วยทุกคนก็มักจะมีใครคนใดคนหนึ่งไปด้วยเสมอ
โดยเฉพาะช่วงหลังที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มัก "เดินสาย" ไปให้ความรู้แทบไม่ว่าง หรือตอนที่นิภาบางยี่ขัน มีปัญหาต้องทำงานประจำปลีกไปไม่ได้บ่อย หรือตอนที่ ทวีสุข ทองถาวร เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สะดวกที่จะตระเวนไปนอกสถานที่กับพวกเรา ก็คงมี ดวงใจ รวิปรีชา ที่จะติดตามถามเสมอว่า
"พี่ไม่มีสักวาอีกหรือตอนนี้ มีมุขเยอะแล้วนะ" ดังนี้เสมอมา
แม้แต่สามงานล่าสุดที่เราจะต้องไปบอกสักวากันคือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตงานครบรอบวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มีนาคม ที่จุฬาฯและงานวันอนุรักษ์มรดกไทย 3 เมษายน 2546 เราก็มีชื่อดวงใจ รวิปรีชา อยู่พร้อมแล้วทุกงาน
พวกเราที่ใกล้ชิดมากๆ จะรู้กันว่า ดวงใจป่วยเป็นโรคที่เราไม่ทราบมานานพอควรดูเหมือนจะเป็นลักษณะภูมิแพ้สิ่งแวดล้อมบางอย่าง แต่ยิ่งเจ็บป่วยดวงใจยิ่งขยันขันแข็งอยากทำโน่นทำนี่ มีโอกาสเธอจะไปเที่ยวทั้งต่างประเทศและในประเทศ
แม้ก่อนจะจากไปเพียงสักสัปดาห์ เธอยังถือโอกาสไปทำบุญนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฯ ณ วัดที่พระนครศรีอยุธยา และตั้งใจว่าสักวาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เธอจะขาดไม่ได้แต่เธอจากพวกเราไปอย่างมิได้อำลาใคร เพราะเธอเพียงรู้สึกไม่ดีแต่ก็ยังมีสติพอขอให้เพื่อบ้านเรียกรถจากโรงพยาบาลมารับไป
ดวงใจ จากพวกเราไปด้วยความสงบ แต่เรียกน้ำตาจากพวกเราทุกคน ไม่ว่าเพื่อนวารสาร มธ.รุ่นวันกันเอง
นิดา
เพื่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมนักเขียนฯ และสมาคมนักกลอนฯ
แม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่ก็อดปลื้มใจแทนเธอมิได้เพราะงานของเธอครั้งสุดท้ายที่วัดมกุฎกษัตริย์มีคนมากมาย
เห็นได้ว่า หนังสือที่เพื่อนๆ
รวบรวมกันให้ ขรรค์ชัย บุนปาน รับภาระจัดการพิมพ์ให้ 500 เล่ม ไม่เหลือถึงคนมาช้าเลย
ในฐานะนายกสโมสรสยามวรรณศิลป์ ผู้เขียนได้เขียนถึงเธอไว้ว่า
"ใบไม้หนึ่งร่วงไปในราวป่า อาจจะไร้คุณค่าต่อป่าใหญ่ แต่สำหรับไม้ต้นที่หล่นใบย่อมหวั่นไหวทุกกิ่งก้านร่วมว่านเครือ ร่วมสมัยในวงวรรณบรรณศิลป์ เรืองระบิลถิ่นไทยทั้งใต้เหนือปันน้ำใจไมตรีที่เอื้อเฟื้อ เป็นหนั่นเนื้อพี่น้องผองเผ่าพันธุ์ จากวันเก่าเธอเข้ามาอาณาจักรเคารพรักพี่ทั้งหลายด้วยใจมั่น สักวามีที่ไหนไปด้วยกัน แม้เมื่อวันก่อนสุดท้ายปลายชีวิตเสียดายเหลือเมื่อวันเธอผันพราก มวลมิตรมากมาอาลัยจริงในจิต เป็นภาพซ้อนสะท้อนใจในมวลมิตรเธอพิชิตงดงามด้วยความดี จากนี้
แม้สักวาไม่ราร้าง แต่ข้างข้างเพื่อนพ้องน้องและพี่จะขาดหนึ่งคารมคมวาที แน่นอน
มีหยาดน้ำตาร่ำอาลัย"
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51557