รอบรู้เรื่องรถ
ควันหลงจากคอลัมน์ "ใช้รถผิดประเภท"
ผมนึกไม่ถึงว่าคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเลือกใช้รถในคอลัมน์นี้ จะบานปลายกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันมากมายใน pantip.com ไปได้ ในคอลัมน์นี้ผมได้ยกตัวอย่างการเลือกใช้รถที่ไม่ถูกจุดประสงค์ เป็นตัวอย่างจริงที่ผมได้พบเห็นจริงมาเล่าสู่กัน พร้อมกับให้ความเห็นว่า "เห็นแล้วสังเวชใจ" ซึ่งไม่ได้เป็นการดูหมิ่นดูแคลนหรือเยียดหยามใคร และก็ไม่มีการเอ่ยชื่อ หรือให้ข้อมูลใดๆ อันจะสามารถโยงไปถึงบุคคลเหล่านั้นเลย
เหตุเกิดเพราะมีผู้นำเรื่องนี้ไปตั้งเป็นกระทู้ ว่ามีคอลัมน์หนึ่งในนิตยสารรถยนต์บอกว่า "ผู้ที่ใช้รถ SUV คือคนโง่" จะด้วยความเบาปัญญาการอ่านหนังสือดีๆ แต่ไม่รู้เรื่อง หรือการเจตนาบิดเบือนให้กลุ่มผู้ใช้รถนี้"กระโจน" เข้ามาร่วมวงระบายความโกรธแค้นกันมากๆ ก็ตาม การ "เห็นผู้ใช้รถผิดจุดประสงค์จำนวนมากแล้วสังเวชใจ" กับ "ผู้ใช้รถ SUV คือคนโง่" นี่มันไม่มีความหมายตรงไหนใกล้เคียงกันเลยนะครับเหมือนกับผมบอกว่า "เห็นคนใส่เสื้อหนาวกลางหน้าร้อนเดือน เมษายน แล้วสังเวชใจ" กับการเอาไปตั้งเป็นกระทู้ว่า "คนใส่เสื้อหนาวคือคนโง่"
เคยมีผู้อ่านบางคน ขอให้ผมเข้าไปออกความเห็นเรื่องรถในเวบไซท์นี้ เพราะมักมีการถกเถียงกันทางด้านเทคนิค แบบที่ไม่มีทางได้ข้อยุติบ่อยครั้งยังไม่ถูกต้องทั้งสองฝ่าย ผมตอบไปว่าผมคงไม่ลงไปเป็นฝ่ายที่สาม
หรือสี่ ผมไม่ยินดีกับการได้ชี้หรือตัดสินว่าใครผิด ผมไม่ปลาบปลื้มกับการได้สอนใคร เพราะในงานจริงก็ต้องสอนอยู่แล้ว และไม่มีเวลาว่างเหลือพอสำหรับการ "ร่วมวง" ทำนองนี้ด้วย
แต่จุดยืนของผมไม่เคยเปลี่ยน และขอยืนยันว่า เราต้องเลือกซื้อรถมาใช้ให้ตรงกับจุดประสงค์การทำอะไรตามใจชอบโดยไม่มีเหตุผลรองรับ เพราะถือว่ามีเงินเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้นั้น ไม่ใช่วิถีทางของคนฉลาดครับ
(อาจมีนักบิดเบือนเอาไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่ได้อีกแล้ว) ใครทำอย่างนั้น ก็คือผู้ที่มีวิถีชีวิตอย่างหยาบและไร้วัฒนธรรม กลายเป็น "สามล้อถูกหวย" ผมไม่ใช่พวกหลับหูหลับตาบูชา "ฝรั่ง" หรือชาวตะวันตก แต่ก็ต้องชมเชยเขาในเรื่องนี้ พวกเขาที่ร่ำรวยขึ้นมา จะด้วยความพยายาม ความสามารถ หรือโชคช่วยก็ตาม คือไม่นับพวกที่รวยมาแต่กำเนิด เขาจะปรับปรุงตัวตามฐานะครับ เช่น เพิ่มวุฒิทางการศึกษาให้ตนเอง หาความรู้รอบตัว ด้านศิลปะและวิทยาการอื่นๆ ศึกษาและฝึกฝนมารยาทในการเข้าสังคม ฝึกฝนวิธีการพูด ฯลฯต่างจากพวกเราส่วนใหญ่ ที่ยังยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่า มีเงินมากแล้วจะทำอะไรก็ได้
ผมจะลองยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เพราะเกี่ยวข้องกับทุกคน นั่นคือเฉพาะเรื่องการกินและการดื่มเท่านั้นก็พอครับการหมักเบียร์ให้มีคุณภาพ ได้รสชาติดี เป็นศิลปวัฒนธรรมที่ชาวตะวันตกเขาบ่มเพาะสืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มีวิธีดื่มที่พิสูจน์แล้วจากการทดสอบทดลองมาเป็นศตวรรษ เช่นเดียวกันคนไทยก็เอามาละลายน้ำแข็งบ้าง เอามาแช่เย็นจัดจนเปิดแล้วน้ำและแกสแยกตัวบ้าง ใช้หลอดดูดบ้าง แช่เบียร์ไม่พอเอาแก้วไป
แช่ไว้ก่อนด้วย เราจะไม่มีวันได้รู้จักรสชาติที่แท้จริงของเบียร์เลยครับ เพราะมันถูกน้ำเจือจางหมด หรือแม้ตอนยังไม่จาง ลิ้นเราก็เย็นจนชาแล้ว เพราะเขาดื่มกันที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียส และอย่าไปบริการแบบนี้กับพวกเขานะครับ จะถูกด่าเสียผู้เสียคนไปเลย
การดื่มไวน์ยิ่งละเอียดอ่อนกว่าหลายสิบหลายร้อยเท่า ผมเห็นหาของแพงมา แต่ดื่มกันแบบต้องการให้เมาเท่านั้นก็มี แบบนี้หาของถูกๆ มาก็ใช้ได้แล้ว เราก็ยังมีกับแกล้มเป็นไส้กรอกยัดไส้พริกขี้หนูซึ่งมัน "ไป" กันไม่ได้
เลย ผมเคยเห็นคนที่เอาสกอทช์วิสกีรุ่นดีพิเศษ บ่มกันมาเกือบร้อยปีราคาเกือบหมื่น มาละลายกับน้ำอัดลมสีเข้มยอดนิยม แล้วก็สังเวชใจอย่างยิ่งครับ
พูดถึงสถานที่บ้าง มีคนไม่น้อยบอกว่าต้องการหาร้านอาหารที่บรรยากาศดีหรูหรา สงบ ร้านแบบนี้หาไม่ยากครับแต่ไปถึงจริงๆ แล้วกลับไม่ใช่ เพราะบรรดาลูกค้าที่หาสิ่งเหล่านี่นี้แหละ พร้อมใจกันทำลายบรรยากาศเสียเอง
ก็เล่นแข่งกันพูดทุกคนและทุกโต๊ะ แล้วมันจะสงบได้อย่างไรครับ ร้านดีๆ ก็กลายเป็นรังนกกระจอกไปทันที ถ้าไปปฏิบัติตัวอย่างนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็จะกลายเป็นเป้าให้ทุกคนมองอย่างดูแคลนได้ เท่านี้ยังน้อยไปครับ
เวลารับประทานแล้วจะให้อร่อย ต้องถอดรองเท้าแล้วเอาขึ้นมาแบบขัดสมาธิด้วย ถึงจะรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านช้อนกลางซึ่งมีไว้เพื่อมิให้น้ำลายของใครต่อใครเข้ามาถึงปากเรา ซึ่งมีประโยชน์ทั้งด้านความรู้สึกและด้านอนามัยด้วย เพราะมีโรคร้ายแรงรักษาไม่หายหรือหายยาก เช่นไวรัสตับอักเสบบางแบบ ติดต่อกันทางน้ำลายได้ง่ายมากพวกเราก็บอกว่าขี้เกียจ ไม่ใช้สบายกว่า หลายรายรู้สึกว่าการใช้ช้อนกลางคือการรังเกียจ ไม่ให้ความสนิทสนมเท่าที่ควร
เราพยายามเลียนแบบชีวิตการทำงาน และสถานที่ทำงานให้เหมือนชาวตะวันตก แต่หลายแห่งบังคับให้ลูกค้าและผู้ร่วมงานถอดรองเท้า เรื่องอื่นคงถกเถียงกันได้ครับ แต่ด้านสุขอนามัยนั้นเลวร้ายมาก เพราะเป็นวิธีที่ติดโรคที่เท้าได้ง่ายมาก เลยหลุดมาถึงเรื่องที่ไม่ใช่การดื่มกัน
ขอยกตัวอย่างสุดท้ายตั้งแต่ "ฟองสบู่" ยังไม่แตก คนไทยที่รวยก็จะต้องฟังเพลงคลาสสิคด้วย มิฉะนั้นไม่ครบสูตรซึ่งก็ดีครับ เพราะดนตรีนั้นมีความเป็นสากล ไม่ใช่ต้องถูกผูกขาดเป็นของเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ไหน ผมชอบ
ดนตรีคลาสสิคมาก เพราะบังเอิญได้สัมผัสและรู้จักสมัยที่ยังเขียนหนังสืออยู่ แต่ที่เมืองไทยโดยเฉพาะช่วงไม่กี่ปีหลังนี้ ผมเลิกไปฟังและชมเด็ดขาด เพราะไม่คุ้มกับความเครียดตลอดเวลา ที่กังวลว่าจะต้องมีเสียงโทรศัพท์มือ
ถือดังขึ้นมา ผมเข้าใจความรู้สึกของนักดนตรีต่างชาติเหล่านั้นดี จึงขอไม่อยู่ร่วมในสถานการณ์นั้นเลยดีกว่า คือถ้าไม่ได้รับรู้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอับอายครับ
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ มันเกี่ยวข้องในทำนองเดียวกับการเลือกใช้รถของพวกเรา ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ถ้ายกตัวอย่างเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น มารยาทในสังคม การศึกษาศิลปวัฒนธรรม การเลี้ยงดูลูก ฯลฯเนื้อที่ของ "ฟอร์มูลา" ทั้งเล่มนี้ก็ยังไม่พอครับ
ในท่ามกลางสิ่งเลวร้ายที่ทำให้เสียความรู้สึก (ไม่ค่อยมากเท่าไรครับ เพราะผมชินชาเสียแล้ว) ก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเนื่องจากผู้เขียนคอลัมน์ MOTORING ของ "ผู้จัดการรายวัน" ได้เอ่ยถึงปัญหานี้ พร้อมกับให้ความยกย่องเป็น
ส่วนตัวโดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากไม่ใช่เพราะเนื้อหาของการชมเชยนะครับ แต่เป็นการยกย่องด้วยมิตรภาพ ของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทำงานด้านสิ่งพิมพ์และสื่ออื่นเกียวกับรถยนต์เหมือนๆ กัน
ซึ่งผมคือว่าเป็นนิมิตใหม่ในวงการ เพราะเท่าที่ประสบมาตลอดเวลาเกือบ 30 ปี ของวงการรถยนต์ไทย (วงการอื่นๆก็คงไม่แตกต่างกันนัก) ผู้ที่ทำงานประเภทเดียวกันกับเรา จะไม่มีการยกย่องให้เกียรติกัน มีแต่การ "ยกตนข่มท่าน"อยู่กับการเปรียบเทียบ มองเพื่อนร่วมอาชีพเป็น "คู่ปรับ" ไปหมด ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วควรจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
สังคมเรานิยมการปรียบเทียบว่า "ใครเก่งกว่าใคร" มันไม่ใช่ประเด็นเลยครับ ใครทำงานได้ก็คือทำได้ ใครทำงานได้ดีก็คือทำได้ดี และนักเขียนรายนี้ก็บังเอิญเป็นรายเดียวกับที่ผมเห็นว่า เป็นคนเดียวที่พยายามให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้อ่านมาตั้งแต่ต้น และขอขอบคุณสำหรับการกระโดดเข้าไป "ลุย" แทนใน pantip.com ด้วย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51554