รู้ลึกเรื่องรถ
แบทเตอรี (ตอนจบ)
เห็นเป็นแค่ก้อนสี่เหลี่ยมเกลี้ยงๆ อย่างนั้น แต่รายละเอียดของแบทเตอรีมากพอสมควรครับมาดูเรื่องการบำรุงรักษากันก่อน ก็ไม่ต้องบำรุงอะไรกันมากนัก คอยป้อน "น้ำกลั่น" ให้พออยู่เสมอที่คำนี้อยู่ในเครื่องหมายคำพูดเพราะน้ำที่เหมาะสำหรับเติมแบทเตอรี ไม่จำเป็นต้องได้มาจากการกลั่นเสมอไปครับขอให้ได้ความสะอาดและความบริสุทธิ์สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ก็พอแล้วหน่วยงานมาตรฐานของเราก็มีการกำหนดมาตรฐานนี้ไว้ดีเพียงพอครับ
แต่ในภาคปฏิบัติ ผมไม่แน่ใจว่ามีการสุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบกันจริงจังหรือไม่ในทางเทคนิคแล้วระดับน้ำกรดในแบตเตอรี่ควรสูงกว่าขอบบน (ท่วม) ของ "แผ่นธาตุ" เพียง 3 ถึง 4 มม. เท่านั้นแต่เมื่ออยู่ในห้องเครื่องซึ่งร้อนจัดเพราะอากาศภายนอกก็ร้อน เติมให้ถึงระดับบนสุดที่เขากำหนดไว้ดีกว่าครับคืออยู่ที่ขีดบน (ถ้ามองจากภายนอกเห็น) หรือถ้ามองในช่องเติม ก็ให้ขึ้นมาถึงชายล่างของพลาสติคที่ยื่นลงไปพอดี
ขั้วแบทเตอรีต้องสะอาดอยู่เสมอครับ ถ้ามีคราบสีขาวจับอยู่ ที่ช่างชอบเรียกว่าขี้เกลือต้องถอดสายแบทเตอรีออกจากขั้ว แล้วล้างด้วยน้ำร้อน จะสะอาดดีมาก ราดโดยไม่ถอดสายไม่ได้ผลครับเพราะถ้าปล่อยไว้นานกระแสไฟอาจผ่านไม่ได้ แล้วไม่ต้องถึงกับต้มน้ำเดือดมาเป็นกานะครับผมเคยเห็นราดจนเปลือกแบทเตอรีโก่งไปเลย เมื่อประกอบสายกลับแล้ว ทาด้วยวาสลีนเพื่อป้องกันการเกิดคราบใหม่ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรแต่ห้ามใช้จารบีหล่อลื่นแทน
ไม่ใช่แค่ขั้วเท่านั้นที่ต้องสะอาด ทุกส่วนของแบทเตอรีควรสะอาดด้วยโดยเฉพาะด้านบนเพราะถ้ามีคราบฝุ่นจับและปนกับความชื้นในอากาศ ก็จะทำให้กระแสไฟฟ้าลัดวงจรคือไหลถึงกันจากขั้วแบทเตอรีได้เลย แม้จะไม่มาก แต่ถ้ามีประจุอยู่ไม่มาก และจอดทิ้งไว้หลายวันก็อาจจะถึงขั้นติดเครื่องไม่ไหวได้ แบทเตอรีที่ถูกพักการใช้งานระยะยาว ต้องมีประจุอยู่เต็มหรือเกือบเต็มเสมอแม้จะไม่ใช้กระแสไฟฟ้าจากมัน ก็จะมีการคายประจุประมาณวันละ 0.2 ถึง 1 % ถ้าปล่อยให้ประจุไฟฟ้าลดลงต่ำกว่า70 % ของความจุเต็ม ซัลเฟทจากน้ำกรดจะจับหนาที่แผ่นธาตุ อัดประจุคืนกลับสภาพเดิมได้ยากและทำให้อายุสั้นลงด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่ใช้งานต้องอัดไฟให้เต็มทุกๆ 6 สัปดาห์หรือบ่อยกว่านี้ครับ และอย่าลืมเช็ดให้เปลือกนอกโดยเฉพาะด้านบนสะอาดด้วย
การอัดไฟแบทเตอรีถือเป็นเรื่องใหญ่ของการใช้แบทเตอรีเลยครับ แต่สำหรับเนื้อที่ที่เรามีผมขอเลือกเฉพาะส่วนที่ไม่หนักมาก และพวกเราผู้ใช้รถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลยในชีวิตประจำวันของการใช้รถการอัดไฟที่นิยมกันมากที่สุดแต่ไม่ค่อยดีนัก คือการอัดแบบใช้กระแสไฟฟ้าคงที่ เพราะเครื่องอัดแบบนี้ราคาถูกครับปัญหาก็คือจะอัดด้วยกระแสไฟมากหรือน้อยเพียงใด ถ้าจะเอาให้ถูกต้องตามมาตรฐานสมัยใหม่ให้เอา 16หารค่าความจุสำรองหรือ RESERVE CAPACITY ซึ่งมีค่าเป็นนาที ได้ตัวเลขเท่าไรคือค่ากระแสไฟฟ้าที่ควรใช้ในการอัดและมีหน่วยเป็นแอมแปร์
จากตัวอย่างในฉบับที่แล้ว ค่านี้เท่ากับ 90 นาที ก็จะได้ประมาณ 5.6 แอมแปร์ค่านี้สำหรับผู้ที่สนใจจริงจังเท่านั้นครับ เพราะบ้านเราไม่รู้จักกันเลยแต่จะรู้จักความจุขอบแบทเตอรีในหน่วยแอมแปร์ชั่วโมงหรือ AH เอาตัวเลขความจุนี้หารด้วย 10แล้วใช้เป็นค่ากระแสไฟฟ้าในการอัดได้เลยครับ นานแค่ไหนแล้วแต่ประจุที่ยังเหลืออยู่ ถ้าเหลืออยู่ 50 %ตามทฤษฎีก็ต้องอัด 5 ชม. แต่เพิ่มเป็น 6 ชม. เพื่อชดเชยส่วนที่สูญหายก็จะพอเหมาะครับ ถ้าไฟหมดเกลี้ยงก็อัดสัก12 ถึง 15 ชม. เต็มหรือไม่รอวิธีตรวจสอบในตอนท้ายอีกทีครับ
แต่ถ้าจะให้ดีจริง ควรอัดแบบเคลื่อนไฟฟ้าคงที่ ซึ่งต้องใช้เครื่องอัดทันสมัยหน่อยระบบของเครื่องอัดจะลดกระแสไฟฟ้าลงไปเรื่อยๆ แบทเตอรีแบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่น (MAINTENANCE FREE)ต้องอัดด้วยเครื่องแบบนี้เท่านั้นครับ โดยคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าไว้ไม่ให้เกิน 14.4 โวลท์มิฉะนั้นจะเกิดฟองแกสมากและทำให้ความดันแกสในตัวแบทเตอรีสูงเกิน สำหรับแบทเตอรี่"ธรรมดา" อัดด้วยค่า 14.4 โวลท์ จะทนทานและปลอดภัยครับถึงจะเหลือประจุน้อยแค่ไหน อัดสัก 7 ชม. ก็เต็มเหลือเฟือ
แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินต้องอัดแบบด่วน สามารถใช้เครื่องแบบกระแสคงที่ แล้วตั้งค่าสูงได้ 5 เท่าของค่าปกติครับก็คือแทนที่จะใช้ 10 หารความจุ ก็หารด้วย 2 แทน แต่อย่าอัดจนเต็มหรือรอจนครบ 2 ชม. แบทเตอรีจะอายุสั้นครับเอาแค่ชั่วโมงเดียวก็พอครับ จากประจุเกือบหมดก็จะได้ประจุ 70 ถึง 80 % ของความจุ ใช้งานได้สบายแล้วที่เหลือให้ระบบของรถค่อยๆ อัดไประหว่างใช้งาน
การตรวจสอบประจุของแบทเตอรีให้แน่นอน ต้องใช้ไฮโดรมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะหรือ ถพ. ของน้ำกรด ค่า 1.2ในตำราต่างๆ เป็นค่าของต่างประเทศที่อากาศเย็นกว่าเราครับ สำหรับเมืองไทย ค่า ถพ. 1.24 ถือว่าเต็มแล้วถ้าเป็นแบบไม่ต้องเปิดเติมน้ำกลั่นหรือเปิดไม่ได้ ต้องใช้โวลท์มิเตอร์วัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าแทน
โดยใช้ค่าที่ผมจะให้ต่อไปนี้ช่วยในการประมาณ ถ้าเต็มปรี่จะวัดได้ 12.7 โวลท์ ถ้ามีครึ่งเดียวควรได้ 12.3และถ้าหมดหรือเกือบหมด ก็จะได้ประมาณ 12.0 โวลท์ และถ้าจะให้รู้ผลแน่นอนต้องใช้เครื่องตรวจแบบที่ให้แบทเตอรีทำงานโดยการคายกระแสไฟฟ้ามากๆ ครับ รู้จักกันในชื่อ HEAVY-DUTYDISCHARGE TESTER โดยวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขณะแบทเตอรีจ่ายกระแสปริมาณสูงเป็นเวลา 10 วินาที ถ้ายังอยู่ที่10 โวลท์ ถือว่ามีประจุเต็ม ถ้าเหลือ 3 โวลท์ คือหมด ในช่วง 10 วินาทีนี้ ถ้ามีช่องไหนเป็นฟองลอยขึ้นมาแสดงว่าแบทเตอรีเริ่มเสื่อมเพราะมีการลัดวงจรในช่วงนั้น ยิ่งถ้าแรงเคลื่อนเหลือ 0 โวลท์แสดงว่ามีแผ่นธาตุแตกหักบางจุดแล้ว
ก่อนใช้เครื่องมือนี้ ควรเอาลมเป่าด้านบนของแบทเตอรีก่อน เพื่อไล่ไฮโดนเจนและออกซิเจนที่อาจตกค้างอยู่เวลาจี้เครื่องมือนี้ที่ขั้วต้องกดอย่างเร็วและแรงไปเลยครับ เพื่อไม่ให้เกิดประกายไฟฟ้าเพราะกระแสไฟฟ้าไหลได้มาก
คราวนี้มาดูเรื่องสำคัญที่คนไทยไม่ชอบให้ความสำคัญกันบ้าง ความปลอดภัยครับพวกเราบาดเจ็บล้มตายกันมามากแล้ว เพราะดูถูกสิ่งนี้ โดยเฉพาะในวงการช่างทั้งหลาย ทั้งช่างจริงช่างปลอมดูเหมือนว่าใครที่มีสำนึกด้านความปลอดภัยและปฏิบัติถูกต้อง จะถูกเพื่อนร่วมงานดูถูก ว่าขี้ขลาด อ่อนหัด เพี้ยนหรืออาจถึงขั้นบ้า การทำงานกับแบทเตอรี เช่น อัดไฟตรวจสอบ ต้องอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้เสมอ ห้ามปิดทับเพราะมีทั้งไฮโดรเจนและออกซิเจนพร้อมระเบิด แล้วยังมีไอกรดกำมะถันด้วย ต้องมีน้ำพร้อมในจำนวนเพียงพอกรณีถูกน้ำกรดหกรด อุปกรณ์ล้างตาก็ต้องมีไว้ ห้ามสูบบุหรี่หรือใช้เปลวไฟทำงาน สำหรับผู้ใช้รถอย่างพวกเราต้องจำไว้เลยนะครับ ห้ามใช้แสงสว่างจากเปลวไฟ ในการดูระดับน้ำกรดในช่องเติมเด็ดขาด
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงจะเคยทดลองแยกน้ำด้วยไฟฟ้าในห้องทดลองสมัยเรียนมัธยมมาแล้วจะได้ออกซิเจนและไฮโดรเจนในสถานะแกส และถ้าเราดักแกสนี้เก็บไว้ได้หมดไม่ให้รั่วไหลให้มันปนกันในหลอดทดลอง ก็จะได้สัดส่วนหนึ่งต่อสองพอดีตามสูตรทางเคมีของมันเมื่อให้พลังงานกระตุ้นให้ทำปฏิกิริยาโดยนำเปลวไฟมาจ่อ มันจะทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ที่เราเรียกว่าระเบิดแล้วกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ
แบทเตอรีของเราที่ถูกอัดไฟ ทั้งโดยอัลเทอร์เนเตอร์ของรถ หรือโดยเครื่องอัดไฟก็ตามก็จะคายแกสทั้งสองนี้ในอัตราส่วนเหมาะแก่การทำปฏิกิริยาพอดี ต่างกันตรงที่มีน้ำกรดอยู่ด้านล่างและช่องระบายความดัน (ช่องเติมน้ำกลั่น) ก็แคบ ถ้าเจอกับเปลวไฟจากไม้ขีดไฟหรือเทียนที่เราจ่อไปที่ปากช่องก็จะระเบิดน้ำกรดกระจายเข้าตาได้ทันที ถ้าเป็นเวลากลางคืนแล้วไม่มีไฟฉายหรือโคมไฟก็ไม่ต้องไปตรวจระดับน้ำกรดหรอกครับ
ก่อนจบผมขอฝากตารางอาการ-สาเหตุไว้อย่างคร่าวๆ เผื่อจะมีประโยชน์ต่อการใช้รถของพวกเราบ้าง
[table]อาการ, สาเหตุ
ประจุไฟฟ้าน้อย, ระบบชาร์จไฟของรถชำรุด
,มีไฟ "รั่ว"ที่ใดที่หนึ่ง
,หรือลืมปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง
,น้ำกรดจางเกินไป
แบทเตอรีจ่ายไฟน้อย, มีประจุไฟฟ้าน้อย
,ขั้วสกปรก
,น้ำกรดสกปรก มีสิ่งสกปรกแปลกปลอม
,"น้ำกลั่น" ที่เติมไม่สะอาดพอ
,คราบซัลเฟทจับที่แผ่นธาตุ
,ใช้งานมานาน
มีฟองแกส "กินน้ำกลั่น", แรงเคลื่อนไฟฟ้าของระบบชาร์จสูงเกินไป
,ชุดปรับแรงเคลื่อนไฟฟ้าชำรุด
อายุใช้งานสั้นเกินควร, เลือกใช้แบทเตอรีที่มีความจุต่ำเกินควร
,ถูกการสั่นสะเทือน กระแทกมากเกินควร
,ใช้น้ำกลั่นไม่สะอาดบริสุทธิ์พอ หรือ
,มีสิ่งสกปรกลงไปปนกับน้ำกรด
,หยุดใช้งานนานเกินไป โดยไม่อัดไฟเป็น
,ระยะระบบอัดไฟของรถมีแรงเคลื่อน
,ไฟฟ้าสูงเกินไป[/table]
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51365