ชีวิตคือความรื่นรมย์
"แม่"
ผู้เขียนเชื่อโดยสนิทใจว่า คำที่มีคนในโลกเรียกมากที่สุด น่าจะเป็นคำที่มีความหมาย"แม่"
นอกจากเป็นคำแรกที่เราสอนให้ทารกเรียกมากว่าคำใดๆ แล้ว เวลาคนเรามีความทุกข์-มีความต้องการคนช่วยหรือแม้จะจากไปไหน คนมักจะเรียกหาแม่มากกว่าคนอื่น
ผู้เขียนประสบมาด้วยตัวเองว่า เมื่ออายุประมาณ 7-8 ขวบหลังจากพ่อจากไปแล้ว ผู้เขียนต้องอยู่กับแม่และพี่สาวเพียง 3 คน
วันหนึ่ง ลงไปสวนผักที่ปลูกไว้บนเนื้อที่ลาดชันริมน้ำโขง พี่สาวกำลังรดน้ำผักอยู่ผู้เขียนกับลูกพี่ลูกน้องที่อายุไล่เลี่ยกันก็ไปกระโดดน้ำเล่นอยู่ริมน้ำ พลางก็ท้ากันว่าใครจะกระโดดออกไกลจากฝั่งได้มากกว่ากัน
ชายฝั่งตรงนั้น มองดูเหมือนจะลาดชันออกไปไกล พอกระโดดไปครั้งหนึ่งก็แล้วครั้งที่สองก็แล้ว
พื้นดินที่ดูลาดชันก็ยังเป็นอย่างที่ตาเห็นบนผืนน้ำ
หากแต่การกระโดดครั้งที่สามของผู้เขียน ซึ่งต้องการจะเอาชนะน้องสาวเพื่อนลูกอานั้นผู้เขียนจึงทำใจกล้ากระโดดออกไปไกลกว่าที่ควรมาก
ผลปรากฏว่า พื้นดินใต้น้ำตรงนั้นไม่ลาดชันอย่างที่คาดคิดเสียแล้ว
ตรงข้ามมันกลับเป็นหลั่นลึกลงไปอย่างที่พี่สาวสั่งไว้ตอนแรกว่า อย่ากระโดดลงไปไกลๆ จากริมน้ำเพราะดินมันลึกเป็นหลั่นลงไปมาก
ผู้เขียนยังว่ายน้ำไม่เป็น เพราะก่อนหน้านั้นเคยมีเพื่อนสนิทที่ลงเล่นน้ำที่ชายหาดด้วยกันแล้วจมน้ำตายไปแม่จึงห้ามขาด มิให้ลงเล่นน้ำโขงโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
ความรู้สึกที่ผู้เขียนยังจำได้จนถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 60 ปีแล้ว คือคิดถึงแม่มากที่สุดร้องไห้สะอื้นออกมาเต็มที่ว่ายังไม่ได้ลาแม่ ยังไม่มีโอกาสทดแทนคุณแม่เลยและแม่จะเสียใจเพียงใดที่ตนมาตายแต่อายุเพียงนั้น
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า ผู้เขียนนอกจากจะเป็นลูกกำพร้าพ่อแล้ว ยังเป็นลูกคนสุดท้องของแม่ก็เป็นได้ จึงได้มี "แม่" เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
ขณะนี้ดำผลุบๆ โผล่ๆ ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ กลืนน้ำเข้าไปจนไม่รู้เท่าไรมือก็ควานไปจับสายเชือกผูกเครื่องมือดักปลาที่ชาวบ้านเรียกว่า "ขา" ได้ ก่อนจะสิ้นสติผู้เขียนรีบสาวเชือกขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด พอพรวดโผล่ขึ้นตลิ่งได้ก็สิ้นสติไม่รู้เรื่องไปเลย
ลืมตารู้เรื่องขึ้นมาเห็นญาติที่ปลูกผักใกล้ๆ กันมาช่วยกันจับตัวผู้เขียนคว่ำหน้า แล้วแบกขึ้นบ่าเพื่อไล่น้ำออกจากท้องเนื่องจากผู้เขียนยังหายใจอยู่จึงไม่ต้องปฐมพยาบาลถึงขั้นนปั๊มหัวใจหรือดูดปาก
ส่วนพี่สาวนั้นนั่งร้องไห้และกอดตัวผู้เขียนแน่น ด้วยความรู้สึกหลายประการ ทั้งสนฐานะที่ผู้เขียนเป็นน้องเล็ก-เป็นน้องที่ใกล้ชิดกับพี่สาวและยอมทำอะไรเป็นเพื่อนพี่สาวมากที่สุด
นอกจากนั้น แม่คงใจสลาย หากน้องคนเล็กที่แม่รักที่สุดเป็นอะไรไป
ด้วยความที่เป็นลูกชายแต่กำพร้าพ่อมาแต่เล็ก แม่จึงเป็นห่วงผู้เขียนมากที่สุดเกรงว่าจะทำอะไรไม่เป็นอย่างที่ลูกผู้ชายชาวบ้านเขาทำกันแม่จึงพยายามที่จะให้ข้าพเจ้าไปทำอะไรอย่างลูกผู้ชายเขาทำกัน ด้วยว่าพี่ชาย 3 คนต่างก็โตและไม่อยู่ดูแลข้าพเจ้าแล้วคือคนโตไปเป็นตำรวจอยู่ต่างอำเภอ พี่ชายคนรองไปอยู่กับญาติที่อำเภอเพื่อเรียนหนังสือชั้นมัธยมแล้วต่อมาป่วยเลยต้องบวช ส่วนพี่ชายคนที่ถัดข้าพเจ้าซึ่งควรจะสนิทกันที่สุดพี่ชายก็ต้องไปอาศัยเป็นศิษย์วัดอยู่ในอำเภอ เพื่อจะได้เรียนหนังสือ ที่บ้านตอนนั้นจึงเหลือแม่ พี่สาวซึ่งเป็นพี่คนกลางและข้าพเจ้าดังกล่าวแล้ว
ยิ่งเมื่อพี่สาวเรียนจบชั้นประถม ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านญาติในอำเภอเพื่อเรียนมัธยมต่อข้าพเจ้าจึงอยู่กับแม่เพียงลำพังสองคน ความรู้สึกผูกพันกับแม่จึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าลืมไม่ได้ในชาตินี้
ครั้นเมื่อข้าพเจ้าอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5 (เท่ากับ ม. 3 ปัจจุบัน) วันที่ได้รับโทรเลขจากพี่เขยว่า "แม่ตายเมื่อคืนนี้กลับเร็ว"จึงรู้สึกเหมือนว่า โลกนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
ผู้เขียนจึงรู้สึกน้ำตาซึมออกมาโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงที่กล่าวถึงแม่...
"คำใดไม่ซึ้งตรึงใจเหมือนแม่ อันพระคุณปกแผ่มีแก่ลูกน้อยกลอยใจ อกแม่เคยอุ่นละมุนละไม
" เพียงแค่นี้น้ำตาก็พาลจะไหลให้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงที่ว่า "แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล
"แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกดั่งดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไรมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม"
ยิ่งตอนที่ว่า "โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน"
เพลงที่เกี่ยวกับพระคุณแม่จึงเป็นเพลงอมตะ เหมือนที่ศิลปินแห่งชาติ-สุรพล โทณะวณิก ประพันธ์ไว้ว่า "จะเอาโลกมาทำปากกา แล้วเอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ
"
การรำลึกถึงพระคุณของแม่ ไม่ว่าจะไปร่วมงานวันแม่หรือไม่ หรือว่า แม้ไม่มีวันแม่ เพียงนึกถึงคำว่า "แม่"และเห็นดอกมะลิ มนุษย์เราก็เป็นสุขแล้ว ที่ได้เอ่ยคำว่า "แม่" ด้วยความรักเต็มหัวใจ
แม้จะเขียนถึงในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว แต่ผู้เขียนก็อยากจะจบลงด้วยโคลงที่ว่า
คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
คุณบิดรดุจอา กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร
เรื่องโดย : ประยอม
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51338