ประกันภัย
ลดเบี้ยประกัน พรบ. ประชาชนได้อะไร ?
ถ้าพูดถึงการประกันภัยตาม พรบ. วันนี้ ทุกคนรู้จักกันดีแน่นอน เพราะได้ใช้มาเกือบ 10 ปีแล้ว ชื่อเต็มของ พรบ. นี้คือ
"พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พรบ. 2535" เริ่มใช้เป็นทางการเมื่อ 5 เมษายน 2536
วัตถุประสงค์สำคัญของการประกันภัยประเภทนี้คือ "ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และอนามัย
ของคนทุกคนที่ได้รับจากรถยนต์ทุกประเภท รวมถึงรถจักรยานยนต์ด้วย ทั้งนี้ไม่รวมถึงความเสียหายของทรัพย์สินทุกชนิด
กฎหมายที่ออกมาใช้มุ่งเน้นความคุ้มครองความปลอดภัยของคนทุกคนเป็นหลัก ไม่ว่าคนนี้จะเป็นใคร คนใช้รถ คนเดินถนน
คนในรถคันอื่น หรือผู้โดยสารที่นั่งมากับรถ โดยถือว่า คน คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศชาติ ดังนั้น
กฎหมายจึงบังคับให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำประกันตาม พรบ. นี้ หากไม่ทำก็จะมีโทษปรับและห้ามใช้รถคันนี้
ซึ่งการรณรงค์นี้ได้กระทำอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยเฉพาะในปี 2544 กรมการประกันตั้งเป้าที่จะให้มีการทำประกันภัยตาม
พรบ. 100% จึงได้กำหนดมาตรการหลายประการทั้งด้านบวกโดยการลดเบี้ยประกันลงถึง 2 ครั้ง
และด้านลบคือการลงโทษจับปรับอย่างจริงจัง ซึ่งการประเมินเมื่อสิ้นปี 2544 ก็ได้ผลจริงว่าประชาชนให้ความสนใจ
เจ้าของรถทำประกันภัยกันมาก บางพื้นที่บางจังหวัดครบ 100%
ในด้านภาครัฐมองอะไรกับการประกันภัยประเภทนี้ นอกจากวัตถุประสงค์ตามกฎหมายแล้ว รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ คือ
นายสุวรรณ วลัยเสถียร รมช.พาณิชย์ ได้แถลงเมื่อ 30 มค. 2545 ว่าจะประกาศลดเบี้ยประกันภัย พรบ. ลงอีก 100 บาท
เพื่อให้ผลประโยชน์ตกแก่เจ้าของรถจำนวน 3 ล้านคน จะได้จ่ายน้อยลง และไม่เพิ่มความคุ้มครองเป็น 1 แสบาท
เพราะผลประโยชน์จะตกแก่ผู้ประสบภัยจากรถเพียง 1 หมื่นคนต่อปีเท่านั้น
ทำให้เรามองทะลุไปถึง VISION หรือวิสัยทัศน์ของ รมต.
ผู้รับผิดชอบซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลนี้ได้เลยว่าเป็นผู้รับใช้คนรวย ทำคะแนนกับคนรวย
การที่ตั้งเป้าหมายการทำงานที่ต้องการให้มีการทำประกันภัย พรบ. ให้ครบเงินทั่วถึงเป็นสิ่งที่ดี
แต่ไม่ได้มองประโยชน์ที่แท้จริงที่คนเดือดร้อนได้รับ คือ ประชาชนคนที่ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย จากอุบัติเหตุรถยนต์
ซึ่งทุกวันนี้มีค่าเพียง 50,000 บาท หรือ 80,000 บาท ต่อคนเท่านั้น ชีวิตคนไทย
ทรัพยากรบุคคลของไทยมีค่าเพียงเท่านี้เองหรือ
การที่ รมต. มองว่าลดเบี้ยประกัน 100 บาท จะได้กับคนที่เป็นเจ้าของรถ 3 ล้านคน ซึ่งเป็นเงินประมาณ 300 ล้านบาท
แต่ถ้าเพิ่มความคุ้มครองจาก 80,000 เป็น 100,000 หรือจาก 50,000 เป็น 70,000 สำหรับค่ารักษา
ประชาชนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตประมาณ หมื่นคนต่อปีจะได้รับเพิ่มประมาณ 200-400 ล้านบาท
อะไรน่าจะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของคำว่ารัฐบาลของประชาชนมากกว่ากัน
หรือท่านจะเป็นเพียงรัฐบาลของคนรวยอย่างเดียว
ดังนั้นการลดเบี้ยประกันอาจมองได้ 2 ข้อ กล่าวคือ
นัยที่ 1 ความผิดพลาดของรัฐบาลในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยประกันภัยผิดพลาดมาตั้งแต่ปี 2535
ที่กำหนดไว้สูงมารกเกินไป เช่น รถเก๋งเดิมกำหนดไว้ 1,200 บาท/ปี รถพิคอัพกำหนดไว้ 1,500 บาท/ปี
โดยให้ความคุ้มครองชีวิตและบาดเจ็บไว้เพียง 50,000 บาท/คน/ความเสียหายเบื้องต้นเพียง 10,000 บาท ต่อมาอีก 3-4 ปี
ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนโดยการลดอัตราเบี้ยประกันลง 10% และเพิ่มความคุ้มครองชีวิตเป็น 80,000 บาท/คน ค่ารักษาพยาบาล
50,000 บาท/คน ค่าความเสียหายเบื้องต้น 15,000 บาท/คน
ดูแล้วก็มีเหตุผลเพราะการปรับเปลี่ยนประโยชน์ตกกับประชาชนและเจ้าของรถด้วย
ที่ว่าเป็นความผิดพลาดมากคือปี 2544 ที่มีการปรับลดเบี้ยประกันภัยลงอีก 2 ครั้ง โดยไม่เพิ่มความคุ้มครองใดๆ เลย
โดยลดจาก 1,080 บาท เหลือ 970 บาท เมื่อ 12 มิถุนายน 2544 และลดเหลือ 920 บาท เมื่อ 1 ตุลาคม 2544
และกำลังจะลดลงอีกครั้ง 1 กุมภาพันธ์ 2545 เหลือ 800 บาท ถ้าคิดจาก 1,200 บาท เหลือ 800 บาท คือลดลง 33.5% หรือ 1 ใน
3 ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่สูงมาก แสดงถึงความผิดพลาดในการทำงานของราชการที่ก่อนหน้านี้
ทั้งกรมการประกันภัยและบริษัทประกันภัยร่วมกันเอารัดเอาเปรียบประชาชนและเจ้าของรถ
โดยอาศัยกฎหมายบังคับให้เจ้าของรถทำประกันภัยเพื่อให้บริษัทประกันภัยมีกำไรมหาศาล ดูจากตัวเลขคร่าวๆ
รถทั้งหมดมีประมาณ 10 ล้านคัน เป็นรถเก๋งอยู่ประมาณ 3 ล้านคัน ใน 3 ล้านคันบริษัทมีกำไรจากส่วนต่างคันละ 400 บาท
รวมปีละ 1,200 ล้านบาท 8 ปี เป็นเงินถึง 9,600 ล้านบาท เฉพาะรถเก๋งนะครับ และรถอื่นๆ อีกไม่รู้เท่าไหร่
นัยที่ 2 มองว่ามีความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ได้มีความพยายามที่จะแก้ไขโดยยึดหลักต้นทุนและกำไรต้องไม่สูง
เนื่องจากเป็นกฎหมายบังคับ เมื่อมีสถิติตัวเลขก็ควบปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสม
และทำให้การสนองตอบตามกฎหมายคือการปฏิบัติตามได้ผล 100% ก็ต้องลดอัตราเบี้ยประกันเป็นการจูงใจ
แต่ดูนัยนี้แล้วไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าใดนัก เพราะความเหมาะสมอยู่ ณ จุดใด ลดแล้วลดอีกก็ยังไม่พบจุดที่เหมาะสม
ในด้านของบริษัทประกันภัย ได้อะไรจากการลดเบี้ยประกันนี้ ทำให้เพิ่มการแข่งขันขึ้น
ในทุกวันนี้ขายกันเต็มท้องถนนทุกซอกทุกมุม ทั้งในร้านขายของชำ ในปั๊มน้ำมัน ร้านก๋วยเตี๋ยว แม้กระทั่งร้านตัดผมเสริมสวย
เพราะมีการจ่ายผลตอบแทนกันตามที่กรมการประกันภัยกำหนด หลายบริษัทยังแข่งขันกันลดราคารถเก๋งเหลือเพียง 7-800
บาท ทั้งที่กรมประกันภัยประกาศอยู่ที่ 970 บาท ทำได้อย่างไร เป็นคำถาม คำตอบมีอะไรซ่อนอยู่
ประชาชนควรจะรับรู้อะไรบ้างมั้ย ใครช่วยตอบ
ข้อเท็จจริง พรบ. มีการเคลม เบิกจ่ายค่าเสียหายน้อยมาก มิใช่การเกิดอุบัติเหตุน้อย แต่คนที่จะมาเบิกค่าเสียหายตาม พรบ.
มีน้อย เพราะมีเงื่อนไขมากมายทั้งเอกสารต่างๆ รวมถึงใบแจ้งความของตำรวจที่ใครจะไปแจ้งความก็ต้องจ่ายค่าปรับด้วย
ฉะนั้นการเบิกจาก พรบ. จึงจะเป็นเพียงเบิกกรณีร้ายแรงหรือมีความเสียหายมาก เช่น บาดเจ็บสาหัส หรือตาย
ถ้าเป็นบาดเจ็บทั่วไปก็จะไปใช้สิทธิทางอื่นๆ เช่น ประกันสังคม ประกันกองทุนเงินทดแทน ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ
เป็นต้น ทำให้ยอดจ่ายเคลม พรบ. ทั้งระบบอยู่ที่ประมาณ 30-40% ของค่าเบี้ยประกันภัย จึงเห็นว่าบริษัทประกันมีกำไรสูงถึง
30-40% หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ซึ่งถ้าเบี้ยประกันภัยทั้งระบบ 20,000 ล้าน/ปี กำไร 6,000-8,000 ล้าน ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในแง่ของประชาชนได้อะไร ตอบได้เลยว่าไม่ได้อะไรที่ดีขึ้นเลย เพราะการลดเบี้ยประกันทุกครั้งเป็นการช่วยเจ้าของรถ
แต่การบาดเจ็บ ตาย ยังได้ค่าชดใช้เท่าเดิม หรืออาจจะถูกเบี้ยวจากบริษัทบางบริษัทมากขึ้นก็ได้ เพราะกำไรอาจลดลงบ้าง
แต่โดยรวมการลดเบี้ยเป็นการจูงใจเจ้าของรถให้ทำประกันภัยมากขึ้น บริษัทประกันภัยจะได้รับเบี้ยประกันภัยมากขึ้นไปด้วย
แต่คนที่หน้าบานที่สุดคือรัฐมนตรีผู้ดูแลรับผิดชอบ ได้คะแนนจากผลงานสามารถทำให้เกิดการทำประกันภัย พรบ. 100%
ถ้าพูดกันตามจริง เบี้ยประกัน พรบ. ยังสามารถลดได้อีก แต่ต้องมองในแง่ประชาชนด้วยว่าได้รับอะไร
มิใช่มองในแง่เจ้าของรถ เพราะเจ้าของรถมีกฎหมายบังคับอยู่แล้ว แต่ประชาชนเดือดร้อนใครจะช่วยเขาได้ เขาต้องทุกข์ทน
ขาดที่พึ่ง ขาดรายได้จุนเจือครอบครัว จะต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มก็ไม่มีปัญญา
ทำไมรัฐบาลผู้มีอำนาจกลับไม่เหลียวแลเขาบ้าง
เบี้ยประกันภัย พรบ. ที่น่าจะเหมาะสมเก็บเพียงวันละบาทถึงสามบาทก็พอ
รถจักรยานยนต์วันละบาท หรือปีละ 365 บาท ไม่ต้องคำนึงถึงซีซี
รถเก๋งเพียงวันละ 2 บาท หรือปีละ 730 บาท ไม่ต้องคำนึงถึงซีซี
รถพิคอัพเพียงวันละ 3 บาท หรือปีละ 1,095 บาท ไม่ต้องคำนึงถึงที่นั่ง
ถ้ารับจ้างก็เก็บเพิ่มอีกวันละบาทก็เพียงพอแล้ว
แต่ที่สำคัญคือความคุ้มครองสำหรับผู้ประสบภัยควรเป็น ตายคนละ 100,000 บาท บาดเจ็บจ่ายตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าเสียหายเบื้องต้นจ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท
ก็ขอวอนท่านรัฐมนตรีมองผลประโยชน์ประชาชนให้มากกว่านี้ อย่ามองแต่คนรวยที่เป็นคะแนนเสียงของท่านเพียงอย่างเดียว
เว้นแต่จะทำให้ทุกคนรวยได้เหมือนท่านหมดทุกคน ก็จะขอบคุณ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51295