ร่มไม้ชายศาล
ฟ้องแทนพ่อ
และแล้ว "รถนักเรียน" ก็เป็นเหยื่อการจราจรอีกจนได้ พ่อแม่ต้องสูญเสียลูกหลานไปก่อนวัยอันควร
เพราะรถบรรทุกนักเรียนชนกับรถอื่น เด็กตายเป็นโขยง
เด็กเหล่านี้ไม่ได้เป็นลูกคนมีสตางค์ ที่มีรถส่วนตัวไปรับส่ง ต้องยัดทะนานในรถสองแถว ต้องห้อยโหนจนล้นทะลักออกมา
ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเป็นฝูงก็มี
เกิดอะไรขึ้นมา ชีวิตของเด็กก็ปลิดปลงลงไปอย่างน่าสงสาร
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ออกมาพูดเชียว ต่อแต่นี้ไปต้องดูแลแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเศร้าอีก เป็นอันขาด
ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ทว่าเป็นแค่ลมปาก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ ลูกชาวบ้านยังห้อยโหนรถเสี่ยงตายเช่นเดิม
หลังจากนั้นก็รอฟังว่าจะมีการตายเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็พูดซ้ำกลอนเดิม ปล่อยให้เหมือนเดิม ตายกันจนได้
อันที่จริงรถบรรทุกนักเรียนฝ่าฝืนกฎหมายจราจรอยู่แล้ว
ถ้าตำรวจเอาใจใส่ก็ใช้กฎหมายนั่นแหละควบคุมให้นักเรียนโดยสารรถอย่างปลอดภัย ไม่ยัดทะนาน ไม่เสี่ยง เรื่องเศร้าก็ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ
พูดไปก็เท่านั้น งานนี้รับรองได้ว่าอีกยี่สิบปีสามสิบปีไม่มีอะไรดีขึ้น เด็กนักเรียนที่พ่อแม่ไม่มีรถส่วนตัวรับส่ง
ต้องห้อยโหนต้องยัดอยู่บนรถสองแถว ต้องผจญภัย ต้องวัดดวงว่าใครจะมอดม้วยมรณาเช่นเดิม เพราะคนตายคือลูกชาวบ้าน
ตานี้มาดูคดีที่ลูกรับหน้าเสื่อแทนพ่อ นำคดีเรื่องรถไปฟ้องร้องที่ศาล ปรากฏว่าคดีน่าจะชนะน่าจะได้เงิน แต่ผิดหวัง ไม่ได้แม้แต่แดงเดียว
เป็นอย่างไรเรามาดูกันต่อไป
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อรถแทกซีชนกับรถเก๋ง พังกันทั้งสองฝ่าย แล้วตกลงกันไม่ได้ เริ่มแรกเจ้าของรถแท๊กซี่คือ "บริษัท ท. จำกัด"
ยื่นฟ้อง "นายจวก" คนขับรถเก๋ง โดยรถเก๋งเป็นรถของ "นายอ๊วก" พ่อของนายจวก
คำฟ้องระบุว่า นายจวก ขับรถประมาท ทำให้รถแทกซีเสียหาย บังคับให้จ่ายค่าซ่อม ค่าขาดรายได้ ค่าเสื่อมราคา ค่าดอกเบี้ย รวมแล้ว
เกือบ 1 แสนบาท
นายจวก สู้คดี ให้การว่ารถแทกซีเป็นฝ่ายประมาทต่างหาก ทำให้รถเก๋งที่ตนขับเสียหายตั้งแยะ จึงไม่ต้องรับผิด และฟ้องแย้ง
บังคับให้เจ้าของรถแทกซีจ่ายค่าเสียหายต่างๆ เกือบ 1 แสน 4 หมื่นบาท
บริษัท ท. เดือดร้อนละสิทีนี้ จึงร้องขอให้ศาลเกณฑ์เอาโชเฟอร์แทกซีกับบริษัทประกันที่รับประกันภัยรถแทกซีมาเป็นจำเลยร่วม
ปรากฏว่าโชเฟอร์คนขับแทกซีไม่สนใจสู้คดี ส่วนบริษัทประกันสู้คดี ให้การว่า นายจวก ไม่ใช่เจ้าของรถ ฟ้องแย้งไม่ได้
ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่ารถแทกซีนั่นแหละประมาทฝ่ายเดียว จึงตัดสินยกฟ้อง และตัดสินให้บริษัท ท. และบริษัทประกัน
ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายให้แก่ นายจวก เกือบ 1 แสน 4 หมื่นบาท
นายจวก กระดี้กระด้าดีใจที่ชนะคดี
ส่วนบริษัท ท. และบริษัทประกันดิ้นรนด้วยการยื่นอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลตัดสินให้ฝ่ายรถแทกซีชนะคดี และขอให้ยกฟ้องแย้งของ
นายจวก เสียด้วย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า นายจวก ไม่ใช่เจ้าของรถเก๋ง จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดกับรถเก๋ง
แม้จะไม่มีใครหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอำนาจฟ้องเป็นปัญญาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงหยิบยกขึ้นมาได้
และพิพากษาแก้ ยกฟ้องแย้งของ นายจวก ด้วย
ฝ่ายรถแทกซีซึ่งเปิดเกมก่อน แต่แพ้ติดต่อกัน 1 ศาล จึงหมดลุ้น ไม่ยื่นฎีกาไม่ทำอะไรอีก
ทางฝ่าย นายจวก ที่เคยชนะในศาลชั้นต้นยังเดินหน้าชนด้วยการยื่นฎีกาเพื่อเอาชนะเอาค่าเสียหายที่เกิดกับรถเก๋ง
อ้างว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาเองดุ่ยๆ ไม่ได้ ในเมื่อฝ่ายรถแทกซีเขาไม่ได้อ้างถึง ไม่ได้ต่อสู้คดีไว้
ศาลฎีกาเล็งดูคดีนี้จนเหมาะเหมงแล้ว จึงชี้ขาดออกมาว่า
จากพยานหลักฐานทางทะเบียนปรากฏว่ารถเก๋งเป็นของ นายอ๊วก บิดาของ นายจวก นายจวก จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้
ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายต่างๆ ที่เกิดกับรถเก๋งเพราะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ตามกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา 1336
งานนี้แม้ไม่ได้หยิบยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาว่าในศาลชั้นต้น
แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยกขึ้นเองได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแย้งของ
นายจวก ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ศาลฎีกาต้องพิพากษายืน
คดีนี้คนที่ได้เงินคือทนาย ทั้งๆ ที่ทนายทำคดีค่อนข้างเฟอะฟะทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายแรกรถแทกซีก็ไม่ดูให้ดีว่าใครประมาท เมื่อรถแทกซีประมาท ฟ้องไปก็แพ้คดีเปล่าๆ
ทางด้านรถเก๋งซึ่งไม่ได้ประมาทจะฟ้องกลับบ้างก็ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าใครคือเจ้าของรถเก๋งที่แท้จริง ลูกชายซึ่งไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในรถเก๋ง
ทะลึ่งฟ้องเสียเองเรียกค่าเสียหายที่เกิดกับรถ เลยได้กินแห้ว ศาลยกฟ้องเพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย
ที่แย่มากคือ นายอ๊วก พ่อของ นายจวก ซึ่งเป็นผู้เสียหายตัวจริงอยู่ในสภาพหมดท่า เมื่อศาลยกฟ้องของ นายจวก ไปแล้ว
คดีขาดอายุความเพราะเหตุเกิดเกิน 1 ปีไปแล้ว จึงตั้งตัวเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้ ฟ้องก็แพ้คดีแน่นอน
งานนี้นายจวกและทนายทำเหตุแท้ๆเทียว
การเป็นถ้อยร้อยความต้องพึ่งทนายล้วนๆ จึงต้องระมัดระวัง ต้องดูว่าทนายมีฝีมือเข้าขั้นหรือเปล่า ไม่งั้นได้เสียเงินเสียเวลา
ได้แต่ความเซ็งลูกเดียว มันสนุกซะที่ไหนล่ะพี่
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2544
เรื่องโดย : จอมยุทธ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51282