รอบรู้เรื่องรถ
ได้เวลาประหยัดกันเสียที (2)
วิธีบำรุงรักษารถก็มีผลอย่างมากต่อความสิ้นเปลืองครับ แต่ก่อนอื่นเครื่องยนต์ของเราต้องอยู่ในสภาพดี
พอ หมายถึงกระบอกสูบและแหวนลูกสูบ ต้องไม่สึกเกินลิมิทที่ผู้ผลิตเขากำหนดไว้ มิฉะนั้นจะปรับตั้งและ
บำรุงรักษาดีอย่างไร ก็ไม่สามารถลดการ "ซด" น้ำมันได้เลย อาการที่ควบคู่กับการกินน้ำมันผิดปกติก็คือ
เครื่องยนต์มีกำลังน้อย ทั้งๆ ที่ปรับตั้งทุกอย่างถูกต้องหมด ส่วนใหญ่จะมีอาการกินน้ำมันเครื่องมากกว่า
ปกติหรือมากกว่าที่ควร แต่การกินน้ำมันเครื่องมากเกินปกติ ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเครื่องยนต์หลวมเสมอไป
เพราะอาจเป็นที่ซีลก้านวาล์วเสื่อม หรือแหวนกวาดน้ำมัน (แหวนลูกสูบตัวล่างสุด) ชำรุดก็ได้ครับ ใน
กรณีเหล่านี้ เครื่องยนต์จะไม่กินน้ำมันเชื้อเพลิงเกินปกติ จะเปลืองเฉพาะน้ำมันเครื่องเท่านั้น
วิธีตรวจอย่างถูกต้อง ว่าเครื่องยนต์ของเรา "หลวม" เกิน หรือหมดอายุหรือยังนั้น คือการวัดความดัน
ในกระบอกสูบ ที่เรียกกันติดปากว่าวัดกำลังอัดนั่นแหละครับ ศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไป จะมีเครื่องมือนี้
ทุกแห่ง ค่าที่วัดได้ ต้องสูงกว่าค่าต่ำสุดที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์กำหนดไว้ ไม่มีค่ามาตรฐานเหมือนที่ช่างซ่อมรถ
ชอบใช้กัน เพราะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนการอัดและพิกัดเผื่อของแหวนลูกสูบ สำหรับรถแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น
โดยเฉพาะ
เครื่องยนต์ยุคนี้ โดยเฉพาะถ้านับย้อนหลังไปสักไม่เกิน 10 ปี คือพวกที่ใช้กับรถปีประมาณ 1990 ขึ้นไป
มีอายุใช้งานสูงมากครับ เครื่องยนต์ย้อนหลังไปสักไม่เกิน 10 ปี คือพวกที่ใช้กับรถปีประมาณ 1990 ขึ้นไป มี
อายุใช้งานสูงมากครับ เครื่องยนต์ของรถ ญี่ปุ่น ที่คน ไทย เชื่อกันว่าอายุสั้นนั้น ก็ผ่านช่วงดังกล่าวมา
นานแล้ว ถ้าใช้และบำรุงรักษาถูกต้อง ไม่โดนน้ำมันเครื่องปลอม จะมีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 250,000
กม. ทั้งนั้นครับ ถ้าใช้ทางไกลเป็นหลักก็อาจถึง 400,000 กม. สบายๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคอย
ถนอมกลัวเลขบอกระยะทางมันจะขึ้น ซื้อมาแล้วถ้ามีธุระมีความจำเป็น ใช้มันให้เต็มที่ครับ อย่าเอามา
จอดบูชาในบ้าน ใครแตะต้องไม่ได้ เพราะมันคืออุปกรณ์จากเหล็กโลหะและวัสดุต่างๆ ที่มนุษย์เราใช้
สติปัญญาประดิษฐ์ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เราเอง ต้องมีไว้ให้มันรับใช้เรา ผมเห็นคนจำนวน
หนึ่งกลับทำตัวเป็นทาสของรถยนต์ที่ซื้อมา น่าสังเวชครับ
เอาเป็นว่าเครื่องยนต์ของเรายังไม่หลวมครับ ก่อนจะปรับตั้งสิ่งที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงและไฟจุดระเบิด
ต้องตรวจและปรับระยะวาล์วให้ถูกต้องก่อน รถยุคนี้โดยเฉพาะรถราคาค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จะมีระบบ
ปรับระยะวาล์วอัตโนมัติ ส่วนพวกที่ต้องปรับระยะวาล์ว มีสองแบบด้วยกันคือปรับด้วยเกลียว กับปรับโดย
การเปลี่ยนแผ่นรองหรือ SHIM แบบหลังนี่เปลี่ยนยากครับ แม้จะเป็นช่าง เพราะต้องวัดทั้งระยะวาล์ว
เดิม วัดความหนาของแผ่นรอง แล้วคำนวณหาค่าความหนาของแผ่นรองที่จะเปลี่ยน ส่วนใหญ่ต้องถอด
เพลาลูกเบี้ยวออกก่อน ช่างก็เลยไม่อยากทำ หรือไม่ก็ทำไม่เป็น หาทางเอาตัวรอด โดยโกหกลูกค้าว่า
ไม่ต้องปรับตั้งตลอดอายุใช้งาน ทางที่ดีตรวจสอบด้วยตัวเองจากคู่มือใช้รถ ว่ารถของเราต้องตรวจและ
ปรับระยะวาล์วทุกๆ กี่หมื่นกิโลเมตร
ถ้าจะปรับเครื่องยนต์ให้ถูกต้องสมบูรณ์ ไม่เปลืองเชื้อเพลิง ก็ต้องปรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแน่นอนอยู่แล้วครับ
ถ้าเป็นรถที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ ก็ต้องปรับสกรูส่วนผสมไอดีให้ถูกต้อง ตามหลักการต้องใช้เครื่องมือวัดคาร์บอน
มอนอกไซด์ในไอเสีย ถ้าไม่มีให้ใช้ความสังเกต โดยปรับจนเครื่องยนต์เดินเรียบและความเร็วรอบสูงสุด
แล้วหมุนสกรูเข้าอีกนิดเดียว อย่าให้ถึงกับความเร็วรอบตก หรือเครื่องเริ่มเดินไม่เรียบ สำหรับรถที่ใช้
ระบบหัวฉีดรุ่นแรกๆ จะมีสกรูปรับส่วนผสมอยู่ที่มาตรวัดอัตราไหลของอากาศ ต้องใช้เครื่องวิเคราะห์
ไอเสียเช่นเดียวกันครับ และต้องรู้ค่าสัดส่วนคาร์บอนมอนอกไซด์เฉพาะรุ่นด้วย ถ้าไม่มีเครื่องมือและ
ข้อมูล ให้ใช้วิธีเดียวกับการปรับคาร์บูเรเตอร์แก้ขัดไปก่อนก็พอไหวครับ งานพวกนี้ไม่ใช่อ่านจบแล้วทำ
ได้นะครับ ต้องเป็นผู้ที่เคยทำมาบ้างและมีความถนัดเชิงช่างอยู่ด้วย มิฉะนั้นก็ควรให้เป็นหน้าที่ของ
ช่างอาชีพ
ส่วนรถที่ใช้ระบบหัวฉีดยุคใหม่ ไม่มีที่ให้ปรับครับ เพราะต้องปรับโดยการโพรแกรมด้วยเครื่องมือเฉพาะ
ยี่ห้อ เป็นงานของศูนย์บริการเท่านั้น
หัวใจของการประหยัดหรือการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แท้จริง กลับไม่ได้อยู่ที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แต่เป็น
จังหวะจุดระเบิดหรือ IGNITION TIMING เพราะถึงจะมีไอดีถูกส่วนเหมาะเจาะ แต่ถ้ามันถูกจุดให้
เผาไหม้ในจังหวะที่สวนทางต้านกับลูกสูบ หรือตอนลูกสูบ "วิ่งหนี" ลงด้านล่างไปเสียแล้ว เราก็จะไม่ได้
พลังงานในรูปของความดันแกสในกระบอกสูบมาใช้งานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยครับ จังหวะจุดระเบิดจึงมี
ผลโดยตรงต่อกำลัง และความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ ถ้าเป็นรถรุ่นเก่ามาก ที่ยังใช้ทองขาว
อยู่ ต้องตรวจสภาพทองขาวก่อนครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทางที่ดีคือเปลี่ยนใหม่ถ้าใช้งานมาพอสมควรแล้ว
ระยะทองขาวคือระยะห่างระหว่างหน้าทองขาว ขณะอ้ากว้างสุด ถ้าไม่มีค่าเฉพาะให้ตั้งประมาณ 0.40
ถึง 0.45 มม. โดยใช้ฟีลเลอร์เกจวัด ไม่ว่าจะปรับเองเป็นหรือให้ช่างปรับให้ก็ตาม ตำแหน่งจุดระเบิด
นั้นสำคัญจริงๆ ครับ ผู้ที่ใช้รถที่ยังมีจานจ่าย ไม่ว่าจะใช้ทองขาวหรือไม่ ควรปรับจังหวะจุดระเบิดให้ได้
ตามค่าที่โรงงานกำหนดไว้ ส่วนรถที่ใช้ระบบจุดระเบิดแบบไม่มีจานจ่าย ไม่ต้องทำอะไรครับ ยกเว้นมี
อาการผิดปกติ ค่อยให้ศูนย์บริการตรวจสอบ
ไส้กรองอากาศก็มีผลต่อกำลังของเครื่องยนต์ ถ้าถูกอุดตันมากจนอากาศไหลผ่านได้ยาก กำลังของ
เครื่องยนต์ก็จะตก แต่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของผู้ใช้รถและช่าง คือเป็นอาการกำลังตกโดยไม่สิ้น
เปลืองเชื้อเพลิงเป็นพิเศษ เพราะเครื่องยนต์ของเราถูกควบคุมกำลังโดยการใช้ลิ้นผีเสื้อหรือลิ้นคันเร่ง
กั้นอากาศไว้ให้ไหลเข้าเครื่องยนต์ลำบากหน่อย การเร่งเครื่องยนต์ที่เรารู้จักกันมานาน จึงไม่ใช่ "การ
เร่ง" อะไรเลยครับ เป็นเพียง "ปล่อย" ให้เครื่องยนต์ "สูดหายใจ" ได้เท่านั้นเอง รถที่ไส้กรอง
อากาศสกปรกมาก จึงเปรียบเสมือนรถที่ลิ้นคันเร่งปิดแคบกว่าปกติเท่านั้นเอง ต้องเหยียบคันเร่งลึกกว่า
เพื่อให้ได้กำลังเท่าเดิม หรือถ้าเหยียบมิด ก็จะไม่ได้กำลังสูงสุดตามที่โรงงานกำหนด แต่ไม่ได้ทำให้
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นครับ ไส้กรองอากาศของเรานี่ ยิ่งสกปรกเท่าไร มันก็จะยิ่งกรองอากาศได้
สะอาดขึ้น เพราะช่วงที่ให้อากาศไหลผ่านมันตีบลงจากฝุ่นที่ไปอุด ถ้ามันไม่เปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และ
อากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ก็สะอาดขึ้นแบบนี้ก็น่าจะใช้ให้กันสกปรกเต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ด้วยจริง
ไหมครับ ? ไม่ได้นะครับ เพราะคุณค่าของรถจะลดลงไปมาก เพราะเครื่องยนต์ไม่ให้กำลังตอบสนอง
ต่อคันเร่งเท่าที่ควร เปรียบเสมือนขับรถที่เครื่องยนต์เล็กลง กำลังน้อยลง และที่สำคัญก็คือ ถ้าเป็นรถ
เกียร์อัตโนมัติซึ่งเป็นรถส่วนใหญ่ที่พวกเราใช้กันอยู่ จังหวะเปลี่ยนเกียร์และความนุ่มนวลขณะเกียร์
เปลี่ยนจังหวะ จะแปรปรวนรวนเรไปหมด เพราะระบบควบคุมจะใช้สัญญาณจากระยะที่ลิ้นคันเร่งเปิด
เป็นข้อมูลในการเลือกจังหวะเกียร์ด้วย
ตัวการสำคัญอีกอย่างของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำเช่นการใช้งานในเมือง คือ
แรงเสียดทานของยางขณะกลิ้งไปบนผิวถนน แรงนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความดันลมยางครับ โครง
สร้างของยางก็มีส่วนอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก เติมลมตามกำหนดในคู่มือใช้รถทุกๆ สองสัปดาห์ครับ ถ้าเวลา
ไม่อำนวย เพิ่มค่าไปอีก 2 ปอนด์/ตารางนิ้วจากค่าที่กำหนด แล้วตรวจเดือนละครั้งก็ยังไหวครับ
ศูนย์ล้อต้องถูกต้องด้วย เพราะรถที่มีล้อเลี้ยวออก (โท-เอาท์) หรือเลี้ยวเข้า (โท-อิน) มากเกินไป ก็
ทำให้เกิดแรงต้านและเปลืองเชื้อเพลิงได้เหมือนกัน แล้วยังทำให้ยางสึกเร็วกว่าควรไปหลายเท่าตัว
ด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2545
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51272