ประกันภัย
ความคุ้มครองกรณีโอนรถประกัน
การซื้อขายรถยนต์เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนมีรถ ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามความ
พึงพอใจ หรือตามความจำเป็นในขณะนั้นๆ รถคันเก่าอาจจะถูกขายไปเพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรืออาจจะซื้อ
รถคันเก่าจากคนอื่นมาเพื่อใช้งาน หรืออาจจะโอนรถคันโปรดไปให้กับคนอื่นที่เราเสน่หา หรืออาจจะโอน
กันไปตามกฎหมาย เช่น เป็นมรดกตกทอดยังทายาท
ปัญหาที่ทั้งผู้โอนและผู้รับโอนมักจะสงสัยคือ เจ้ารถคันนี้มันมีประกันภัยอยู่ มันจะโอนไปกับรถหรือไม่ หรือ
ถ้าจะยกเลิกกรมธรรม์ประกันที่มีอยู่จะได้เงินคืนหรือไม่ หมายถึง กรมธรรม์ทั้งภาค พรบ. และภาค
สมัครใจ (ประเภท 1, 2 และ 3)
เรื่องนี้ได้มีระบุไว้ในกรมธรรม์ทั้งประเภท พรบ. และประกันภัยภาคสมัครใจ ดังนี้
กรมธรรม์ภาค พรบ. ข้อ 13 ระบุว่า "การโอนรถในกรณีที่เจ้าของได้เอาประกันไว้กับบริษัท ได้โอนไป
ยังบุคคลอื่นให้ผู้ได้มาซึ่งรถดังกล่าวมีฐานเสมือนเป็นผู้เอาประกันตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้น และบริษัท
ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวต่อไปตลอดอายุของกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังเหลืออยู่"
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับมาตรฐาน ข้อ 2 ระบุว่า "การโอนรถเมื่อผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์
ให้แก่บุคคลอื่น ให้ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ และบริษัทจะต้องรับผิดตาม
กรมธรรม์ต่อไปตลอดอายุกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังเหลืออยู่"
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ทำประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ ผู้เอาประกันจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่
ให้บริษัททราบ เพื่อจะได้มีการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงภัยที่เปลี่ยนแปลงไป มิ
ฉะนั้นผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกเอง ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่ปรากฏใน
กรมธรรม์นี้
จะเห็นได้ว่าข้อความที่ระบุไว้ทั้งประกันตาม พรบ. และประกันภาคสมัครใจในวรรคแรก จะมีความหมาย
เดียวกันหรือเหมือนกัน ส่วนวรรคสองของกรมธรรม์ภาคสมัครใจ เพิ่มเติมให้ผู้เอาประกันภัยปฏิบัติให้สอด
คล้องกับกรมธรรม์ในเงื่อนไขเดิม
ข้อความตามกรมธรรม์รถยนต์วรรคแรก ที่กำหนดให้ผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันภัย และให้กรมธรรม์ยังคงมี
ผลบังคับต่อไปตลอดระยะเวลาประกันภัยที่เหลือก็ตาม แต่หากเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเดิมได้ทำประ
กันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ไว้ ดังนั้น เมื่อมีการโอนให้แก่บุคคลอื่นไปแล้วผู้ที่จะมาใช้หรือขับขี่รถยนต์
ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปในวรรคสอง จึงมีการกำหนดหน้าที่ของผู้รับโอน ซึ่งถือว่าเป็นผู้เอาประกันภัยคน
ใหม่ไว้ว่า ให้ผู้เอาประกันภัยคนใหม่นั้นต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ให้บริษัททราบด้วย ทั้งนี้ เผื่อว่า
บริษัทจะได้มีการปรับปรุงเบี้ยประกันภัยใหม่ให้ถูกต้องตามสภาพความเสี่ยงภัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการ
ปรับปรุงเบี้ยประกันภัยจะต้องเริ่ม ณ วันที่ที่บริษัทได้รับแจ้งการเปลี่ยนแปลงโดยคิดอัตราเบี้ยประกันเฉลี่ย
รายวัน ในการนี้ ผู้เอาประกันคนใหม่อาจจะต้องชำระเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติม หรืออาจจะได้รับการคืนเบี้ย
ประกันบางส่วนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ขับขี่ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นผู้ขับขี่ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงภัย
สูง หรือต่ำกว่าผู้ขับขี่คนเดิม
การแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ในที่นี้ ให้รวมถึงการเปลี่ยนประเภทการประกันภัยจากการประกันภัย
ประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ ไปเป็นการประกันภัยประเภทไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ หรือจากไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นระบุชื่อ
ผู้ขับขี่ด้วย
ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเดิมได้ทำประกันภัยตามประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ไว้ และต่อมามีการโอนรถยนต์เกิด
ขึ้น แม้ผู้รับโอนซึ่งถือเป็นผู้เอาประกันภัยคนใหม่ จะไม่มีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ก็ตาม ก็ไม่ทำให้
ความสมบูรณ์ของสัญญาประกันภัยเสียไป กรมธรรม์ยังคงสมบูรณ์ผูกพันคู่สัญญา เพียงแต่ว่าเมื่อมีความรับ
ผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือความเสียหายต่อรถยนต์เกิดขึ้น ในขณะที่มีบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่ผู้
ขับขี่ที่ระบุไว้เดิมเป็นผู้ขับขี่แล้ว ผู้เอาประกันภัยคนใหม่นั้นจะต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก
เอง เป็นจำนวนใดจำนวนหนึ่ง หรือทั้งสองจำนวนแล้วแต่กรณี ดังนี้
- 2,000 บาท สำหรับความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (ตามเงื่อนไขข้อ 2 (ค) ของ
หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก)
- 6,000 บาท ของความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดจากการชนหรือคว่ำ (ตามเงื่อนไขข้อ 4 (ค) ของ
หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์)
การกำหนดเงื่อนไขนี้ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่า กรมธรรม์จะไม่สิ้นผลบังคับ เพราะเหตุที่การโอนรถยนต์ไป
ให้บุคคลอื่น โดยมิได้แจ้งการโอนให้บริษัทราบ ทั้งนี้เนื่องจากโดยปกติเพียงแต่ผู้เอาประกันภัยเดิม หรือ
ผู้รับโอนแจ้งการโอนให้บริษัททราบ บริษัทก็มักจะให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ดังกล่าวดำเนินต่อไปตาม
ระยะเวลาเอาประกันภัยที่เหลืออยู่ โดยบริษัทเพียงแต่ออกไปสลักหลังเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
เงื่อนไขข้อนี้ จึงกำหนดให้สิทธิตามกรมธรรม์ติดตามไปกับตัวรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ สิทธิ
ครอบครอง หรือการโอนใดๆ ก็ไม่ทำให้สัญญาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้สิ้นผลบังคับ แต่ให้ถือว่าผู้รับ
โอนเป็นผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรมนี้
แต่กรมธรรม์ดังกล่าวกำหนดเพียงให้สิทธิตามกรมธรรม์ติดตามไปกับตัวรถยนต์ การกำหนดดังกล่าวหา
เป็นเด็ดขาดไม่ ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้เอาประกันภัยเดิม ซึ่งเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นสำคัญ
ว่า ตนประสงค์จะให้สิทธิตามกรมธรรม์โอนตามหรือไม่ ก็ให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เอาประกันภัย
นั้น กล่าวคือผู้เอาประกันภัยเดิมไม่ประสงค์จะโอนให้ผู้เอาประกันเดิมก็ยกเลิกกรมธรรม์นั้นและขอรับเบี้ย
ประกันภัยคืนตามตารางท้ายกรมธรรม์
การที่ผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์ไปให้บุคคลอื่น โดยข้อตกลงในการโอนนั้น แม้จะมิได้กล่าวถึงและมิ
ได้มีการส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่ผู้รับโอนก็ตาม ก็ต้องถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้
แล้ว
แม้ผู้เอาประกันภัยเดิมได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งว่าไม่ประสงค์จะให้สิทธิกรมธรรม์ประกันภัยนี้โอนไปยัง
ผู้รับโอน ทั้งมิได้มีการส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่ผู้รับโอน แต่ตราบใดที่ผู้เอาประกันเดิมยังมิได้ใช้สิทธิบอก
เลิกกรมธรรม์ และระหว่างนั้นหากรถยนต์คันดังกล่าวไปประสบอุบัติเหตุ ความรับผิดหรือความเสียหายที่
เกิดขึ้น ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองต่อไปจนกว่าการบอกเลิกจะมีผลบังคับ (การบอกเลิกไม่มีผลกระทบถึง
สิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ที่เกิดขึ้นก่อนกรมธรรม์สิ้นผลบังคับ)
ตัวอย่างเช่น ก. ขายรถคันหนึ่งให้ ข. โดยไม่ประสงค์จะโอนกรมธรรม์ให้ ก. ได้ส่งรถให้ ข. ตั้งแต่
1 มกราคม 2545 ต่อมา 1 กุมภาพันธ์ 2545 ก. จึงได้แจ้งบริษัทประกันว่าขายรถไปแล้ว ขอยกเลิก
กรมธรรม์ หากปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2545 ข. ได้ขับรถคันที่ซื้อจาก ก. มาไปเฉี่ยวชนรถคัน
อื่นเสียหาย และได้แจ้งบริษัทประกันภัยทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้น โดยบริษัทได้ทำเคลมค่าเสียหายอยู่ระหว่าง
การจ่ายค่าสินไหม ดังนี้บริษัทจะมาปฏิเสธ ข. ในความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อน ก. บอกเลิกกรมธรรม์กับ
บริษัทไม่ได้ บริษัทยังมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายที่ ข. ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนกรมธรรม์สิ้นผล แม้บริษัทและ ก.
จะยืนยันว่าไม่ได้โอนสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยให้ ข. ผู้รับโอนรถก็ตาม
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2545
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51271