โค้งอันตราย
ปีใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่
เฮฮาพาเพลินฉลองปีใหม่กันแล้ว เดือนกุมภาพันธ์นี่ก็ได้ฉลองตรุษจีนกันอีก เกิดเป็นคนไทยนี่แสนดี
ใครมีเทศกาลบานฉ่ำอะไร พี่ไทยถือโอกาสฉลองด้วยทุกงาน
สิริรวมในรอบเดือนที่ผ่านมา นักการตลาดก็ค่อยยิ้มแย้มออกได้บ้าง เพราะเชื่อมั่นว่า ยอดการขาย
ของปี 2544 จะเฉียดๆ แถวสามแสนคันแน่นอน ยิ่งได้งานมหกรรมยานยนต์ ตอนต้นเดือนธันวาคม
มาช่วยกระตุ้นยอดขาย ตัวเลขก็จะยิ่งฉลุยไปอีก
ส่วนตัวเลขยอดการขายสลากกินรวบ อุ๊ย สลากกินแบ่ง กลับผกผันลดลง เพราะตอนนี้ลอคเลขไม่ได้
กองปราบกำลังไล่ล่าไปหมด เอ เกี่ยวกันไหมเนี่ย
เข้าเรื่องสัพเพเหระประจำเดือนเรื่องแรก
เรื่องน่าสนใจสำหรับคนใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล เพราะตอนนี้ เทคโน ฯ พระจอมเกล้า
พระนครเหนือ ที่ไม่ได้ไปปิดประตูตีแมวที่ไหน กำลังทำการวิจัย การใช้น้ำมันปาล์มเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ
เครื่องยนต์ดีเซล บนถนนจริง รถที่ทำการทำลองวิ่งไปแล้ว 9,125 กม. โดยเป็นการทดสอบเมื่อใช้น้ำมันเชื้อ
เพลิงจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เอามาผสมกับน้ำมันดีเซล ในอัตราส่วน 0:100, 50:50 และ 100:0
หลังจากทดลองวิ่งแล้ว ก็เอามาวัดค่าควันดำได้ผลออกมาว่า มีค่าเป็นเปอร์เซนต์เป็น 69.84 %
22.18 % และ 36.13 % และค่าการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกินน้ำมันนั่นแหละ 9.157, 9.008
และ 8.708 กม./ลิตร ตามลำดับ
นี่เป็นแค่รายงานเบื้องต้นเท่านั้น การวิจัยยังไม่เสร็จสิ้นพอที่จะสรุปออกมาเป็นรายงานได้ เก็บเอาบาง
ส่วนมานำเสนอ เพื่อให้รู้ว่าคนไทยเราก็ทำได้เหมือนกัน ไม่ต้องไปตามก้นฝรั่งมังค่าที่ไหน เพียงแต่ไม่
ค่อยจะมีเงินทุน หรือมีน้อยเท่านั้นเองครับ แต่เพียงค่าเบื้องต้น ก็น่าจะเป็นตัววัดว่า น้ำมันปาล์มในบ้าน
เรา เอามาสกัดให้บริสุทธิ์ ก็สามารถนำมาผสมน้ำมันดีเซลใช้ได้ เหมือนแถวทับสะแก ที่เปิดขายกันเป็น
ล่ำเป็นสัน แค่ถูกกว่าดีเซลบาทเดียว สำหรับคนเบี้ยน้อย หอยใหญ่แล้ว ได้เรื่องทีเดียว
ก็คงต้องทดลองกันต่อว่า จะมีผลอย่างไรต่อเครื่องยนต์ กินน้ำมันเครื่องเพิ่มหรือเปล่า หัวฉีดอุดตัน
หรือเปล่า วิ่งระยะยาวแล้วจะเป็นอย่างไร อืดหรือเปล่า เครื่องยนต์สึกหรอเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่า
ยังอีกหลายเรื่องครับ
แต่ที่แน่ๆ ว่าช่วยได้ก็คือ การประหยัดเงินตราต่างประเทศ ที่ใช้ไปในการซื้อน้ำมันจากเมืองนอก แถม
ด้วยอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม มีโอกาสเจริญรุดหน้าได้อย่างมีอนาคต เท่านี้ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคน
ไทยตาดำๆ แล้ว
เรื่องที่สอง ผลพวงจากที่ท่านนายก คิดใหม่ ทำใหม่ เดินทางไปหลายประเทศ กลับมาก็ต้องทำการ
บ้านหลายเรื่องหน่อย ที่น่าสนใจและจะทำให้การกระจายรายได้สู่ประชาชนเพิ่มมากมีอยู่สองสามเรื่องที่
อยากนำเสนอ
เรื่องแรกของเรื่องที่สอง คือการเสนอปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินอากาศ ปี 2497 เพราะ
สหรัฐอเมริกา และสถาบันการบินนานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยมียางพารา ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
ชิ้นส่วนของเครื่องบินได้หลายชนิด เลยเร่งให้ไทยรีบปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเอื้อให้กับการผลิต
ยางพารา เอาไปใช้ในการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน
เรื่องสำคัญคือการตั้งหน่วยงาน หรือวิจัย เพื่อให้การนำยางพารามาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นไป
อย่างถูกต้อง ตามมาตรฐาน ตามหลักเกณฑ์ของทั่วโลก หรือ R&D นั่นแหละ
ฟังดูดีเชียวนะครับ อีกหน่อยคนไทยจะได้มีใบอนุญาตขับเครื่องบิน พกกระเป๋ากันเป็นเรื่องธรรมดาของคน
มีสตางค์แล้ว เสียแต่ว่าพระราชบัญญัติเนี่ย ตรามาตั้งแต่ปี 97 ได้สี่สิบเจ็ดปีแล้ว ต้องให้ชาวบ้านเขามา
กระตุ้นให้ปรับปรุงใหม่ ส่วนที่คนไทยที่อยู่ในวงการบิน เคยกระตุ้น เคยบ่นกันมาตั้งนมนาน ไม่เห็นมี
ใครสนใจ เห็นเป็นเรื่องไกลตัวไปเสียนี่
เดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นยุคข่าวสารข้อมูลแล้ว ข้ารัฐบาลไทยทำตัวเช้าชามเย็นชามเหมือนแต่ก่อนน่ะ มันยิ่งตาม
โลกเขาไม่ทันไปใหญ่ หัวส่าย แต่หางไม่กระดิก แล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะมาอ้างว่าระบบราชการทำให้
งานล่าช้า เหมือนเก่าน่ะ น่าจะต้องหันหลังกลับมาดูตัวเองใหม่ หรือเอากระจกมานั่งส่องดูก็ได้ เผื่อจะ
เห็นไดโนเสาร์โผล่มาในกระจกมั่ง
เรื่องการวิจัยและการพัฒนาน่ะ เมืองนอกเมืองนาเขาถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง แต่เมืองไทยเนี่ย
บอกได้คำเดียวว่า งบประมาณไม่มีครับ
เรื่องที่สองของเรื่องที่สอง หลังจากเอาไอเดีย หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของเขามาใช้แล้ว ก็เลย
เตรียมสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ระหว่างจังหวัด โออิตะ ประเทศ ญี่ปุ่น กับจังหวัดเชียงใหม่
ประเทศไทย
เรื่องนี้สนับสนุนเต็มที่ครับ ยิ่งทำให้ชาว ญี่ปุ่น รู้จักเมือง ไทย มากเท่าไร เป็นเรื่องดี คนญี่ปุ่นจะได้เอา
เงินมาใช้ในเมือง ไทย มากขึ้น นอกเหนือจากการลงทุนในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นอีกแถมด้วยท่านนายก
เตรียมลงนามสัญญาเงินกู้จาก JBIC เพื่อนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง ระหว่าง
ไทยกับลาว เป็นแห่งที่ 2 เรื่องนี้ก็ดีครับ มีเม็ดเงินมาสะพัดในเมืองไทย ให้เศรษฐกิจแถบชายแดน
กระชุ่มกระชวยมั่ง ดีกว่าเงินบาทไทยไปสะพัดในบ่อนแถบแนวตะเข็บชายแดน
เอ รู้สึกว่าจะคนละเรื่องกันอีกแล้ว เรื่องถัดไปก็ต้องให้คนอื่นมาสอนอีกนั่นแหละ
ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศ ไทย ออกมาคุยว่า หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมา สัดส่วน
ของประชากรไทย เอาเฉพาะผู้ยากจน เพิ่มสูงถึง 16 % หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่ว่ายากจนนี่หมาย
ถึงมีรายได้ต่ำกว่า 886 บาท/เดือน หรือ 33.50 บาท/วัน แถมสอนต่อด้วยว่า ทางการ ไทย จำเป็น
ต้องมุ่งเน้นความสนใจไปยังประชากรที่ยากจนที่สุดให้มากขึ้น เพราะความยากจนของครัวเรือนไทย มัก
เกิดกับครัวเรือนที่ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่มีการศึกษา หรือมีการศึกษาต่ำ โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาค
เกษตรกรรม เฉพาะอย่างยิ่ง ครัวเรือนที่ไม่มีที่ทำกินของตนเอง
ที่จริงแกไม่ต้องออกมาสอนก็ได้ เพราะนี่เป็นเรื่องรู้ๆ กันอยู่ของคนไทย เพียงแต่ว่า ระบบของเรา
กว่าจะช่วยเหลืออะไรกับราษฎรตาดำๆ ได้ ก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย แถมนายทุนเงินกู้นอกระบบในต่าง
จังหวัดรีดดอกเบี้ยยิ่งกว่าแขกขายผ้าเสียอีก
ส่วนนายทุนเงินกู้ในระบบ กฎหมายก็เปิดช่องรูเบ้อเริ่มเอาไว้ ดอกเบี้ยปกติ 1.5 % ต่อเดือน ก็ยังพอ
คุยรู้เรื่อง แต่ถ้าผิดนัดชำระหนี้ ดอกเบี้ยโดดไปถึง 35 % เรื่องอย่างนี้หลวงท่านไม่สนใจ เลยไปหาตึก
โดดกันเอาเองก็แล้วกัน
เอ๊ะ แล้วทำไมวงการรถยนต์ถึงโฆษณากันโครมครามว่า ดอกเบี้ย 0 % ล่ะ เขาค้าขายกันแบบไม่กลัว
ขาดทุนกำไรเลยเหรอ ใครรู้ช่วยบอกที
เรื่องโดย : มือบ๊วย
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2545
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51268