รอบรู้เรื่องรถ
ได้เวลาประหยัดกันเสียที !
คงไม่ต้องเกริ่นนะครับว่าทำไม เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เศรษฐกิจของชาติเราอยู่ในสภาพเช่นใด ทุก
คนได้รับผลกระทบ และทุกคนอีกเช่นกันที่มีหน้าที่ช่วยกันแก้ไข ทำให้มันดีขึ้น ด้วยวิธีใดก็ตามในวิถีทางที่
ชอบธรรม ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ผมว่าเปรียบประเทศเสมือนเป็นคนคนหนึ่ง หรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้
เมื่อใดที่มีปัญหาทางการเงิน ก็ต้องหาทางเพิ่มรายรับและลดรายจ่าย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเราผู้ใช้รถ ก็
เป็นรายจ่ายของชาติล้วนๆ ครับ ตั้งแต่การบริโภคหรือซื้อรถ การใช้อะไหล่ในการซ่อมบำรุง และการใช้
เชื้อเพลิงสำหรับการขับเคลื่อน เรื่องการบริโภคหรือการซื้อรถ และการใช้อะไหล่ ไว้คุยกันในโอกาส
หน้านะครับ คราวนี้ขอเป็นเรื่องการใช้เชื้อเพลิงล้วนๆ ก่อน
เป็นเรื่องน่ายินดี ที่สัดส่วนการจำหน่ายเบนซินค่าออคเทน 91 ต่อเบนซินค่าออคเทน 95 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดายที่หน่วยงานของรัฐออกมาเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนช้าไปหลายปี เป็นการเสียเงินตราที่ไม่
ควรจะเสียไปหลายพันหรืออาจจะเกินหมื่นล้านบาทก็ได้
เลือกใช้เชื้อเพลิงได้ถูกต้อง ตรงตามที่เครื่องยนต์ต้องการแล้วก็ยังไม่พอครับ ต้องใช้รถอย่างฉลาดเป็น
การช่วยชาติและช่วยตนเองไปในตัวด้วย หรือจะพูดกลับกันว่าเป็นการช่วยตนเองและช่วยชาติไปในตัวก็
คงได้เหมือนกัน
ผมว่าเราน่าจะแยกการใช้รถให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้เป็นสามหัวข้อใหญ่ด้วยกัน คือ วิธีใช้ วิธีขับ และวิธี
บำรุงรักษา
เริ่มกันที่วิธีใช้ก่อน ผมว่าคำแนะนำให้ใช้รถร่วมกับเพื่อนบ้าน ผู้ร่วมงาน เพื่อช่วยชาติประหยัดเชื้อเพลิง
นั้น เป็นเรื่องไร้สาระ ที่สักแต่คิดกันขึ้นมาพอให้มันเป็นวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่คิดได้ มีความเป็นไปได้ทางทฤษฎี
แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ใครจะอยากออกเดินทางพร้อมกันทุกวันครับ แล้วขากลับจะเป็นอย่างไร จะจ่าย
ค่าเชื้อเพลิงกันอย่างไร มิตรสัมพันธ์มีเพียงพอหรือเปล่า ถ้าเลิกงานแล้วต้องไปธุระอื่นต่อจะทำอย่างไร
ฯลฯ ไม่มีทางเป็นไปได้ โดยเฉพาะในสังคมแบบไทยๆ เรา มาดูสิ่งที่เป็นจริงกับการใช้รถของเราเองดี
กว่าครับ
วิธีใช้รถให้ประหยัดเชื้อเพลิง มีหลักง่ายๆ เพียงไม่กี่อย่างครับ นอกนั้นจะไปตกอยู่ในอีกสองหัวข้อที่เหลือ
คือวิธีขับ และวิธีบำรุงรักษา ก่อนอื่นสำรวจสัมภาระในรถ ให้มีแต่ของที่จำเป็นต้องใช้อยู่ในรถเท่านั้นนะ
ครับ อะไรที่ไม่จำเป็นต้องใช้ เอาออกไปเก็บไว้ที่บ้านหรือทิ้งไปครับ เพราะเราต้องใช้เชื้อเพลิงในการ
เร่งความเร็วรถทุกครั้ง ยิ่งมีมวลมากหรือมีน้ำหนักมาก ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงมากตามไปด้วย
ก่อนจะไปทำธุระหรือไปเที่ยว หรือทั้งสองอย่างปนกันก็ตาม วางแผนล่วงหน้าให้ดีครับ เรียงลำดับให้ใช้
ระยะทางน้อยที่สุด เลือกแต่ระยะทางอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ ต้องคำนึงถึงสภาพการจราจรของแต่ละ
เส้นทางด้วย ถ้าระยะทางสั้นแต่รถติดวินาศ ก็จะเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าการใช้ทางที่ขับในเกียร์สูงได้
แม้จะเสียค่าธรรมเนียมใช้ทางด่วน บางครั้งอาจจะคุ้มกว่าครับ ใช้หลักง่ายๆ อย่างไม่เป็นทางการใน
การประเมินค่าเชื้อเพลิงว่า บนทางด่วนรถของเราจะใช้น้ำมันประมาณครึ่งหนึ่งของการขับตอนรถติด
เช่น บนทางด่วนได้ 10 กม./ลิตร อยู่ข้างล่างที่รถติดก็จะได้เพียง 5 กม./ลิตร หรืออาจไม่ถึงถ้าติด
หนึบจริงๆ
มาดูวิธีขับให้ประหยัดกันบ้าง ต้องแยกประเภทของรถเป็นสองพวกครับ คือ เกียร์ "ธรรมดา"กับ เกียร์
อัตโนมัติ การขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดนั้น แทบไม่ต้องทำอะไรมาก ขับอย่างนุ่มนวล อย่ารุนแรง
กระแทกกระทั้นคันเร่ง ก็จะประหยัดไปในตัวอยู่แล้ว แม้จะเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบเลือกเกียร์ตาม
ความเหมาะสม แต่เราที่เป็นผู้ขับก็ยังมีส่วนร่วมในการควบคุมอยู่ดีครับ ถ้าต้องการให้ได้อัตราเร่งดีพอ
สมควรในระดับที่ไม่ทำให้ผู้ที่ขับตามหลังรำคาญ และยังประหยัดเชื้อเพลิง ให้เหยียบคันเร่งลึกพอสมควร
ครับ เช่นประมาณครึ่งหนึ่งของระยะทั้งหมด พอความเร็วรอบของเครื่องยนต์ขึ้นมาถึงย่านปานกลาง เช่น
2,500-3,000 รตน. รีบถอนคันเร่งขึ้นมาพอสมควร ไม่ถึงกับถอนจนสุดนะครับ ระบบควบคุมจะเปลี่ยน
ไปเกียร์สูงถัดไปทันที เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้น จนความเร็วรอบเครื่องยนต์ถึงย่านปานกลางเช่นเดิม แล้ว
ถอนคันเร่งแบบเดิม ทำเช่นนี้จนมาถึงเกียร์สูงสุด เช่นเกียร์ 4 (ถ้าสภาพการจราจรอำนวยให้) เท่านี้
ยังไม่พอครับ รถยุคนี้จะมีระบบลอคอัพคลัทช์ ซึ่งส่งกำลังของเครื่องยนต์ถึงเพลาขับโดยไม่ผ่านทอร์ค
คอนเวอร์เตอร์ เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง พอถึงเกียร์สูงสุดแล้ว ต้องเพิ่มความเร็วให้พอจนระบบนี้ทำงาน
ด้วย สังเกตได้ง่ายจากการที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์จะลดลงเล็กน้อย มีวิธีตรวจสอบอีกวิธีครับ คือ
ลองเหยียบคันเร่งให้ลึกลงไปอีกหน่อย จะเห็นว่าเข็มวัดความเร็วรอบจะไม่สะบัดหรือ "สวิงก์"ขึ้น
เหมือนก่อนลอคอัพคลัทช์ทำงาน ถ้าต้องการแซงแล้วมีเวลารวมทั้งระยะทางเพียงพอ เหยียบคันเร่งลึกขึ้น
พอประมาณครับ เพราะถ้าเหยียบลึกเกิน ระบบจะปลดลอคอัพคลัทช์ทันที จะเหยียบลึกหรือไม่ ให้ดูความ
ปลอดภัยเป็นหลักครับ
ส่วนผู้ที่ใช้รถเกียร์ธรรมดา ออกรถด้วยความเร็วรอบของเครื่องยนต์ต่ำสุดโดยไม่สั่นสะท้านหรือดับครับ
ถอนคลัทช์ได้สุดแล้วจึงเหยียบคันเร่งเพิ่ม เหยียบคันเร่งให้ลึกมากทันทีนะครับ คือราวๆ 60 ถึง 80 %
ของระยะทั้งหมด (อย่าไปเชื่อตำราโบราณที่บอกให้เหยียบแผ่วๆ ตื้นๆ ครับ) เราจะได้อัตราเร่งที่ดีโดย
ไม่ต้องใช้เวลามาก พอรอบเครื่องยนต์เข้าย่านปานกลาง รีบเปลี่ยนไปเกียร์สูงถัดไปทันที จะเลือก
จังหวะเปลี่ยนเกียร์ตอนไหนนั้น ให้ถือหลักใช้รอบเครื่องยนต์ให้ต่ำที่สุด โดยที่เมื่อเปลี่ยนไปเกียร์สูงถัดไป
แล้วเครื่องยนต์จะเป็นตัวตัดสินครับ รถเครื่องใหญ่จะใช้เกียร์สูงที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำมากได้โดย
ไม่สะท้าน ทำเช่นนี้ไปทุกเกียร์จนถึงเกียร์สูงสุด (เช่นเกียร์ 5) ครับ
ถ้าสภาพการจราจรอำนวย ถ้าไม่ใช้ภาษาทางวิชาการ ก็ต้องบอกว่า วิธีขับรถเกียร์ธรรมดาให้ประหยัด
เชื้อเพลิงนั้น "ให้เร่งอย่างแรงแต่อย่านาน รีบเปลี่ยนไปเกียร์สูงถัดไป""ใช้เกียร์สูงสุดเท่าที่ทำได้โดย
เครื่องยนต์ไม่สะท้าน"แล้วแถมด้วยหาทางใช้เกียร์สุดท้าย (เช่นเกียร์ 5) ให้ได้ครับ อย่าแช่อยู่ที่เกียร์
3 หรือ 4
คราวนี้มาถึงกฎรวม ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติก็ตาม พอถึงเกียร์สุดท้ายแล้ว (ถ้าเป็น
เกียร์อัตโนมัติ ลอคอัพคลัทช์ทำงานแล้วด้วย) ให้ใช้หลักยิ่งช้ายิ่งประหยัดเชื้อเพลิงครับ ถ้าไม่รีบ หรือ
ขวางทางผู้ที่ตามหลัง ความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่เน้นความประหยัดครับ
มีวิธีประมาณอย่างง่ายๆ ว่าเพิ่มความเร็วขึ้น 10 % จะเปลืองเชื้อเพลิงขึ้น 20 % หรือลดความเร็วลง
ไป 10 % ก็จะลดความเปลืองเชื้อเพลิงลง 18-19 % เลยครับ
ถ้าไม่จำเป็น ขับช้าไว้ ได้ทั้งความประหยัดและความปลอดภัยครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51250